ส่งออกเดือน ส.ค.พุ่ง 7% แรงหนุนสินค้าเกษตร จับตาบาทแข็งกระทบส่งออก
“พาณิชย์”เผยการส่งออกเดือน ส.ค. 67 มีมูลค่า 26,182 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 7 % รวม 8 เดือน การส่งออกไทย มีมูลค่า 197,192 ดอลลาร์ ขยายตัว 4.2 % คงเป้าทั้งปีขยายตัว 1-2 % จับตาบาทแข็งกระทบส่งออกปลายปี
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกเดือนส.ค.67 มีมูลค่า 26,182.3 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 7.0 % หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย การส่งออกขยายตัวที่ 6.6 %
ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 25,917.4 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 8.9% ทั้งนี้ภาพรวม 8 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออก มีมูลค่า 197,192.8 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 4.2 %
ปัจจัยหลักที่ทำให้การส่งออกในเดือน ส.ค. มาจากการส่งออกสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น สูง ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมก็เติบโตได้ดี มีปัจจัยสนับสนุนจากสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนในหลายประเทศ ประกอบกับการฟื้นตัวของภาคบริการในตลาดสำคัญ ส่งผลให้เกิดความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มขึ้น
ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจของสหภาพยุโรปเริ่มกลับมาฟื้นตัวจากภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น กระตุ้นความต้องการสินค้าจากไทย นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกจากค่าระวางเรือที่ลดลง โดยเฉพาะเส้นทางการขนส่งไปยังสหรัฐฯ และยุโรป ทำให้ผู้ส่งออกมีต้นทุนลดลง เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคา
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า การส่งออกไทยในเดือนก.ค.ที่ขยายตัว 7 % มาจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 17.4 % โดยสินค้าเกษตร ขยายตัว 17.5 % และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 17.1% โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ข้าว ยางพารา อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยง และไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำตาลทราย ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง ผักกระป๋องและผักแปรรูป ทั้งนี้ 8 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 5.6 %
ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 5.2 % โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง ครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและ แผงวงจรไฟฟ้า อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ทั้งนี้ 8 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 4.0 %
สำหรับการส่งออกไปตลาดสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัวดีต่อเนื่อง ทั้งในตลาดหลัก อาทิ สหรัฐฯ จีน อาเซียน (5) กลุ่ม CLMV และสหภาพยุโรป รวมถึงตลาดรอง อาทิ เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง สอดคล้องกับการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจการค้าโลก หลังแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยทยอยลดลง โดยตลาดหลัก ขยายตัว 5.7 % ได้แก่ ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัว 3.0 % จีน 6.7 % สหภาพยุโรป (27) 26.4 % อาเซียน (5) 4.5 % และ CLMV 13.7 % ขณะที่ตลาดญี่ปุ่น ยังคงหดตัว 11.3 %
ส่วนตลาดรอง ขยายตัว 7.9 % ได้แก่ ตลาดเอเชียใต้ขยายตัว 22.8 % ตะวันออกกลาง 34.6 % แอฟริกา 20.3 % ลาตินอเมริกา 19.1 % รัสเซียและกลุ่ม CIS 9.3 % และสหราชอาณาจักร 2.6 % ขณะที่ติดลบใน ตลาดทวีปออสเตรเลีย 14.0 % และ ตลาดอื่น ๆ ขยายตัว 106.8 %
"กระทรวงพาณิชย์ ยังคงเป้าส่งออกทั้งปีอยู่ 1-2 %และมีโอกาสเกิน 2% เพราะเศรษฐกิจคู่ค้าหลักเริ่มฟื้นตัว เช่น สหรัฐฯ แต่ขอคงเป้าไว้ที่ 2% ก่อน โดยมีมูลค่าประมาณ 290,776 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ ส่วนสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าในระยะหลังนั้น ยังไม่มีผลให้ สนค.ปรับเป้าหมายการส่งออกของไทยในปีนี้ “นายพูนพงษ์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มการส่งออกในปี 2567 กระทรวงพาณิชย์คาดว่า การส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2567 จะเติบโตต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยบวกที่สำคัญมาจากสัญญาณการคลี่คลายของภาวะเงินเฟ้อระดับสูงในหลายประเทศ และแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ซึ่งคาดว่าจะกระตุ้นการบริโภคในตลาดโลก
ขณะที่ความต้องการสินค้าเกษตรไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับนโยบายรักษาความมั่นคงทางอาหารของประเทศคู่ค้า และสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนทั่วโลกซึ่งส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตในหลายประเทศ นอกจากนี้ แนวโน้มการชะลอตัวของอัตราค่าระวางเรือขนส่งสินค้าจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ส่งออกไทย
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่อาจกระทบต่อการส่งออกไทยในระยะถัดไป อาทิ ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความไม่แน่นอนสูง ค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปัญหาอุทกภัยในประเทศที่อาจส่งผลต่อปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตร
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า การส่งออกเดือน ส.ค.2567 ที่ขยายตัวเป็นบวกได้ เป็นผลมาจากการทำงานหนักของภาครัฐและเอกชนที่ได้ร่วมมือกัน
อย่างไรก็ตามเป็นห่วงการส่งออกจากนี้ไปจะทำได้ยาก เพราะเงินบาทแข็งค่ามีผลต่อการส่งออก ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นผลกระทบแล้วในเรื่องของสภาพคล่องทางการเงิน ที่ส่งออกไปก่อนหน้านี้ เมื่อแปลงเป็นเงินบาทแล้วได้เงินกลับมาน้อยลง และคาดว่าจะกระทบต่อคำสั่งซื้อในช่วง พ.ย.-ธ.ค. และไตรมาสแรกปี 2568 ที่จะขายได้ยากขึ้น แข่งขันได้ลดลง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเข้ามาดูแล ไม่เช่นนั้นจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการส่งออกมากโดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเกษตร