‘คลัง’ บีบ ‘ธปท.’ ร่วมดันเศรษฐกิจ โยนโจทย์ ‘มาตรการการเงิน’ ดันเงินเฟ้อ 2%

‘คลัง’ บีบ ‘ธปท.’ ร่วมดันเศรษฐกิจ โยนโจทย์ ‘มาตรการการเงิน’ ดันเงินเฟ้อ 2%

“พิชัย” รับได้หาก ธปท.คงกรอบเงินเฟ้อ 1-3% แต่ต้องมีมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจขยายตัว อัตราดอกเบี้ยต้องเหมาะสม หนุนการลงทุน ย้ำแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็น KPI ทุกคน “คลัง” เตรียมเสนอนายกฯ พิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 31 ต.ค.67 นี้ ดันเศรษฐกิจไตรมาส 4 หนุนจีดีพีขยายตัว 2.7-2.8%

กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เริ่มต้นการหารือกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินปี 2568 โดยเป็นการหารือระหว่างนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนารคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่กระทรวงการคลัง วันที่ 29 ต.ค.2567

ที่ผ่านมากระทรวงการคลังมีจุดยืนว่า อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีการประมาณการว่า อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนก.ย.2567 ขยายตัว 0.61% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ เฉลี่ยอยู่ที่ 0.20%

สำหรับ การใช้เงินเฟ้อทั่วไปจัดทำนโยบายการเงินเริ่มเมื่อปี 2558 โดยมีเป้าหมาย 2.5% บวกลบไม่เกิน 1.5% หรืออยู่ในกรอบ 1-4% ต่อมาปี 2563 ปรับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อใหม่ ใช้เงินเฟ้อทั่วไปที่ 1-3% ซึ่งในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา มีปีที่เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมาย 3 ปี คือ ปี 2561 ปี 2564 และปี 2566 และ ธปท.ทำจดหมายอธิบายสาเหตุเงินเฟ้อหลุดกรอบเป้าหมายไปยังกระทรวงการคลังรวม 11 ฉบับ

นายพิชัย กล่าวว่า การหารือกับ ธปท.ได้หารือเรื่องการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.ที่จะต้องสอดคล้องกับนโยบายทางการคลังของรัฐบาลก่อนที่จะเสนอแนวทาง และการกำหนดกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไปภายในเดือนธ.ค.2567

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจไทยเติบโตในระดับที่ไม่สูงมากนัก โดยในปี 2566 เศรษฐกิจขยายตัวอยู่ที่ 1.9% และปี 2567 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 2.7% ส่วนในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ใกล้เคียง 3% บวกลบ จากการดำเนินมาตรการไปตามปกติ 

อย่างไรก็ตาม หากต้องการทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้มากกว่านี้ โดยจะต้องปรับเปลี่ยนการดำเนินมาตรการให้มากขึ้น ซึ่ง ธปท.เข้าใจในเจตนาของรัฐบาล และมองเห็นเป้าหมายเดียวกัน

เร่ง ธปท.มีมาตรการดันเศรษฐกิจ

“การกำหนดกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายเป็นเรื่องปลายเหตุ ด้วยเงินเฟ้อจะสูง-ต่ำ ราคาของถูกหรือแพง ต้องขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ การลงทุน รายได้ กำลังซื้อ ดังนั้นการกำหนดกรอบเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 1-3% ก็ไม่มีผล ซึ่งกระทรวงการคลัง ยอมรับได้ที่จะกำหนดกรอบเดิม 1-3% อย่างไรก็ตามระดับอัตราเงินเฟ้อจริงจะต้องมากกว่า 1% ให้ขยับขึ้นมาอยู่ในจุดที่เหมาะสมหรือค่ากลางที่ 2%” นายพิชัย กล่าว

ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะต้องมีมาตรการที่สนับสนุนการเจริญเติบโตเศรษฐกิจ เพื่อทำให้เงินเฟ้อไปสู่จุดที่เหมาะสม ได้แก่ มาตรการสนับสนุนการลงทุน ซึ่งจะต้องกำหนดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับต่างประเทศ และคู่แข่งอัตราดอกเบี้ยต้องอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้

นอกจากนี้ ต้องมีมาตรการที่ช่วยแก้ปัญหาภาระหนี้ประชาชน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือน หนี้บ้าน หนี้รถยนต์ และหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค โดยตั้งเป้าให้มีการบูรณาการ และตกผลึกแนวทางการแก้หนี้ให้ได้ภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งเมื่อแก้ปัญหาเรื่องหนี้ให้กลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ก็จะเพิ่มโอกาสการลงทุน และการขยายตัวของสินเชื่อใหม่

 “สิ่งที่นักลงทุนอยากเห็นคือ โอกาสที่จะขาย กำลังซื้อในประเทศที่เติบโต แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง มาตรการสนับสนุนการลงทุนที่ชัดเจน และอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งขันได้” นายพิชัย กล่าว

แนะดูแลค่าเงินบาทหนุนส่งออก

ขณะเดียวกัน ธปท.ต้องดำเนินนโยบายในการรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้กับประเทศคู่แข่ง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกกว่า 30% และสินค้าบางประเภทพึ่งพาการส่งออกมากว่า 50% ทั้งนี้การดูแลอัตราแลกเปลี่ยนยังต้องอยู่บนหลักการที่ไม่แทรกแซงโดยเสียหลักการ และต้องดูควบคู่กันไปกับอัตราเงินเฟ้อ

“การดำเนินมาตรการ การเงินจะต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งเงินเฟ้อ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสนับสนุนการลงทุน การแก้หนี้ อัตราแลกเปลี่ยน การกำกับดูแลธนาคารในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งได้หารือข้อคิดเห็นเหล่านี้กับ ธปท.ให้กลับไปพิจารณาหลักการ และแนวทางก่อนที่จะเสนอต่อที่ประชุม ครม.ภายในเดือนธ.ค.นี้” นายพิชัย กล่าว

นายพิชัย กล่าวต่อว่า มาตรการทางการคลัง และมาตรการทางการเงินจะต้องไปในแนวทางเดียวกัน เห็นปัญหาเดียวกัน เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจเจริญเติบโต มีการลงทุนใหม่ การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เพิ่มกำลังซื้อประชาชน และแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน

แก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็น KPI ทุกคน

นายพิชัย กล่าวว่า ขณะนี้มีเม็ดเงินการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เริ่มทยอยเข้ามาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมสำคัญ อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ คลาวด์ ดาต้าเซนเตอร์ และเกษตรชีวภาพ ซึ่งเป็นทิศทางที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปโรดโชว์ต่างประเทศ และได้หารือกับบริษัทข้ามชาติหลายแห่ง 

ทั้งนี้นักลงทุนต่างประเทศได้พิจารณาประเด็นสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจการลงทุน ได้แก่ พื้นที่การลงทุนโดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ความพร้อม และราคาพลังงานสีเขียว และกำลังแรงงานที่มีทักษะสูง

ขณะเดียวกัน ยังต้องเตรียมเรื่องการลงทุนภายในประเทศด้านโครงสร้างพื้นฐาน โลจิสติกส์ และโครงการแลนด์บริดจ์เชื่อมการขนส่งอ่าวไทย และอันดามัน รวมทั้งการเชื่อมโยงการขนถ่ายสินค้ากับประเทศจีน

“ถ้าเศรษฐกิจเจริญเติบโต ทุกอย่างดี และการเงินมีเสถียรภาพเป็น KPI ของทุกคน” นายพิชัย กล่าว

นายพิชัย กล่าวว่า หากเศรษฐกิจสามารถเติบโตได้ถึง 3.2-3.5% และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.5-2.0% สิ่งตามมาคือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่เป็นตัวเงิน (Nominal GDP) จะขยายตัว 5.5% เท่ากับรัฐบาลจะมีพื้นที่สร้างหนี้สาธารณะได้ 70% ตั้งงบประมาณขาดดุลได้ถึง 770,000 แสนล้านบาท

“คลัง” เล็งคลอดแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายพิชัย กล่าวก่อนหน้านี้ว่า รัฐบาลได้รับทราบข้อเสนอของเอกชนในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2567 โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะต้องพิจารณาหลายปัจจัยประกอบ เช่น ช่วงเวลาการออกมาตรการ และรูปแบบมาตรการ การกระตุ้นเศรษฐกิจแบบไหนจะมีความเหมาะสมที่สุด

ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท ให้กับกลุ่มเปราะบาง และผู้พิการ 14.5 ล้านคน รวมวงเงิน 120,000 ล้านบาท

สำหรับการเศรษฐกิจปี 2567 คาดว่าจะขยายตัว 2.7-2.8% โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงมาตรการที่รัฐบาลกำลังจะดำเนินการในช่วงที่เหลือของปี 2567 ซึ่งจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องจึงทำให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ตามประมาณการที่ตั้งไว้ รวมทั้งมีเป้าหมายให้เศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3-5% ในอนาคตอันใกล้

เสนอนายกฯ พิจารณา 31 ต.ค.นี้

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนของกระทรวงการคลัง ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รับทราบในช่วงที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาที่กระทรวงการคลัง เพื่อเป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ในวันที่ 31 ต.ค.2567 

“การประชุมครั้งนี้จะมีการหารือ และเตรียมแผนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2568 ว่าจะมีการออกมาตรการอะไร และควรออกมาตรการในช่วงเวลาใด” นายลวรณ กล่าว

ส่วนผลการจัดเก็บรายได้รัฐงบประมาณประจำปี 2567 (ต.ค.2566-ก.ย.2567) ที่ต่ำกว่าเป้าหมาย 4,000-5,000 ล้านบาท ถือเป็นการพลาดเป้าจากประมาณการในงบประมาณเล็กน้อย โดยไม่มีการขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติม โดยสาเหตุมาจากช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนสิ้นปีงบประมาณ เกิดการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนทำให้เงินบาทแข็งค่า ส่งผลต่อการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากสินค้านำเข้าลดลง

“ผลจากเงินบาทแข็งค่าในช่วงเดือนก.ย.ซึ่งหากไม่มีปัจจัยเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนคาดว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้ตามเอกสารประมาณการงบประมาณ”

อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังเห็นว่าการที่จัดเก็บรายได้ที่ไม่เป็นไปประมาณการ จะไม่มีผลต่อการขาดดุลงบประมาณปี 2567 เพิ่มเติม เนื่องจากมีส่วนการเบิกจ่ายที่ไม่เป็นไปตามเป้าเช่นกัน

 

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์