ธุรกิจขนส่งสินค้าแข่งขันเดือด SCG ตัดใจปิดกิจการ SCG Express
ธุรกิจขนส่งสินค้าแข่งขันเดือด SCG ตัดใจปิดกิจการ SCG Express ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เศรษฐกิจโลกผันผวน ลุย “ลดต้นทุนองค์กร-ลดเงินทุนหมุนเวียน-เลิกกิจการ-ขายสินทรัพย์” กว่า 1.5 หมื่นล้านบาท
KEY
POINTS
- SCG ยอมรับความผิดพลาดการดำเนินธุรกิจ การแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจขนส่ง จึงยกเลิก SCG Express และพร้อมมจะพิจารณายกเลิกธุรกิจอื่นที่ขาดทุนภายใน 6 เดือนนี้เพิ่มเติม
- ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา หลายบริษัทฯแห่ลงทุนธุรกิจขนส่ง และยิ่งทั่วโลกเกิดโควิดทำให้มีสตาร์ทอัพเกิดขึ้น ต่างหั่นโปรโมชั่นดุเดือน แม้แต่ ไปรษีย์ไทย ขนส่งรัฐวิสาหกิจยังต้องยอมหั่นกำไรเพื่อแข่งขัน
- เมื่อเวลาผ่านไปซักระยะผู้ให้บริการเอกชนเริ่มขาดทุนหนัก อาทิ Kerry Express ผลการดำเนินงานขาดทุนกว่า 2,000 ล้านบาทในปี 2565 และขาดทุนต่อเนื่อง 5 ไตรมาสติด ไม่ต่างอะไรกับ Flash Express ต้องปรับรูปแบบธุรกิจ
ต้องยอมรับว่าการแถลงข่าวของ นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG แบบตรงไปตรงมา ถือเป็นผู้นำองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ พร้อมยอมรับความท้าทาย ความผิดพลาดของการดำเนินธุรกิจ ซึ่ง SCG Express ถือเป็นอีกธุรกิจที่ได้ประกาศยกเลิกการดำเนินธุรกิจ
เมื่อย้อนกลับไป 4-5 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจโลจิสติกส์ถือได้ว่าเป็นอีกดาวเด่นที่หลายบริษัทฯ ต่างลงทุนในธุรกิจขนส่ง และยิ่งทั่วโลกเกิดวิกฤติโควิด-19 ยิ่งทำให้มีสตาร์ทอัพมากมายเกิดขึ้นตามมา พร้อมหั่นโปรโมชั่นอย่างดุเดือน แม้แต่ บริษัท ไปรษีย์ไทย จำกัด ขนส่งรัฐวิสาหกิจยังต้องยอมหั่นกำไรเพื่อออกโปรโมชั่นมาแข่งขัน
ทั้งนี้ เมื่อเวลาผ่านไปซักระยะผู้ให้บริการเอกชนเริ่มขาดทุนหนัก อาทิ Kerry Express จากผลการดำเนินงานขาดทุนกว่า 2,000 ล้านบาทในปี 2565 ซึ่งขาดทุนต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ไตรมาสติด ไม่ต่างอะไรกับ Flash Express ที่ต้องปรับรูปแบบธุรกิจเช่นเดียวกัน
จากผลประกอบการบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี งวด 9 เดือนแรก ปี 2567 มีรายได้ 380,660 ล้านบาท ใกล้เคียงปีก่อน จากปริมาณการขายของเอสซีจี เคมิคอลส์ และเอสซีจีพี โดย EBITDA38,768 ล้านบาท ซึ่งลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไร 6,854 ล้านบาท ลดลง 75% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ปัจจัยมาจากค่าใช้จ่ายการเดินเครื่องโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals : LSP) ส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ลดลง ขณะที่กำไรไม่รวมรายการพิเศษ ลดลง 46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับไตรมาส 3 ปี 2567 มีรายได้ 128,199 ล้านบาท โดย EBITDA 9,879 ล้านบาท กำไร 721 ล้านบาท ลดลง 81% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทแข็งค่า
นายธรรมศักดิ์ เล่าว่า เอสซีจีคาดว่ารายได้ของปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเพียง 3% เพราะเศรษฐกิจโลกผันผวนรุนแรง วัฏจักรปิโตรเคมีทั่วโลกอ่อนตัวลากยาว สงครามตะวันออกกลาง สินค้าจากจีนมาแข่งขันในประเทศมากขึ้น รวมทั้งค่าเงินบาทผันผวน นับเป็นความท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจและมีแนวโน้มยืดเยื้อทำให้เอสซีจีระมัดระวัง และรัดกุมขึ้นผ่าน 4 แนวทาง คือ
1.ลดต้นทุนภาพรวมองค์กร 5,000 ล้านบาท ภายในปี 2568
2.ลดเงินทุนหมุนเวียนลง 10,000 ล้านบาท ภายในไตรมาส 1 ปี 2568
3.ขายสินทรัพย์ เพิ่มความคล่องตัวและมุ่งเน้นรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ประกอบกับยกระดับประสิทธิภาพการผลิต รักษา EBITDA ให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ต่อเนื่อง อาทิ เพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนโรงงานปูนซีเมนต์ในไทย 50% ภายในปีนี้ การใช้หุ่นยนต์อัตโนมัติผลิตกระเบื้อง แม่นยำ รวดเร็ว ลดวัสดุเหลือใช้
4.ยกเลิกกิจการที่ไม่ทำกำไร เช่น SCG Express และธุรกิจด้านดิจิทัลเทคโนโลยี OITOLABS ในประเทศอินเดีย นอกจากนี้มีกิจการที่อยู่ระหว่างการพิจารณายกเลิก โดยหวังว่าธุรกิจอื่นที่จะปิดตัวจะสรุปได้ภายในกลางปีหน้า
"กรุงเทพธุรกิจ" ตรวจสอบข้อมูลบริษัทที่เอสซีจีจะยกเลิกกิจการเพราะไม่ทำกำไร โดยบริษัท เอสซีจี เอ็กซ์เพรส จำกัด แจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า จดทะเบียนวันที่ 22 ก.ย.2559 ทุนจดทะเบียน 1,463 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจที่ดำเนินการให้บริการขนส่งพัสดุด่วนทั้งแบบทั่วไปและพัสดุประเภทอาหารที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิเป็นพิเศษ เพื่อตอบโจทย์ขยายธุรกิจลูกค้าในตลาด E-Commerce รวมทั้งบริการของลูกค้ากลุ่มธุรกิจ B2B (ธุรกิจถึงธุรกิจ) B2C (ธุรกิจถึงลูกค้าผู้บริโภค) และ C2C (ผู้บริโภคถึงผู้บริโภค)
ในขณะที่ผลดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่อง โดยปี 2566 ขาดทุน 184 ล้านบาท , ปี 2565 ขาดทุน 247 ล้านบาท , ปี 2564 ขาดทุน 212 ล้านบาท , ปี 2563 ขาดทุน 216 ล้านบาท และปี 2562 ขาดทุน 305 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัท เอสซีจี เอ็กซ์เพรส จำกัด ได้ประกาศผ่านเว็บไซต์ถึงการหยุดขนส่งพัสดุ B2C และการให้บริการตัวแทนจุดพัสดุมาตั้งแต่เดือน มี.ค.2567
ส่วนบริษัท Oitolabs Technologies Private Limited จำกัด (OITOLABS) ประเทศอินเดีย ที่บริษัทเอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด (SCG CBM) เข้าไปถือหุ้น 100% ได้เข้าไปซื้หุ้นในปี 2563 จากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาดิจิทัลเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ของ SCG CBM โดยประเมินว่าจะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การลงทุนดังกล่าวมีมูลค่า 2 ล้านดอลลาร์ หรือ 62.4 ล้านบาท โดย OITOLABS เชี่ยวชาญการพัฒนาดิจิทัลเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ ซึ่งมีบุคลากรที่มีทักษะและประสบการณ์ digital platform development ที่ SCG CBM นำมาพัฒนาธุรกิจยุคดิจิทัลได้รวดเร็ว และตอบโจทย์แผนกลยุทธ์ของ SCG CBM ในการขยายธุรกิจค้าปลีกช่องทางออนไลน์และออฟไลน์สำหรับลูกค้าในอาเซียน
นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า เอสซีจียังมีกระแสเงินสด 4.8 หมื่นล้านบาท งบลงทุนทั้งปีที่ 4 หมื่นล้าน ใช้ไปแล้ว 3.4 หมื่นล้าน โดยการแก้เกมระยะยาวเป็นเรื่องจำเป็น การจะรอดพ้นระยะนี้และปีหน้าแค่อดทนเพราะยังมีเงินสด แต่จะให้มีกำไรระยะยาวต้องลดต้นทุน
ทั้งนี้หากจีนไม่แก้ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธุรกิจเม็ดพลาสติกจะไหลออก อีกทั้งสิ้นปีของทุกปีผู้ผลิตรายใหญ่อย่างสหรัฐจะดั้มราคาออกมา ทำให้ต้นทุนไตรมาส 4 ราคาพลังงานขึ้นหมด แม้ช่วงนี้ราคาน้ำมันลงเพราะสงครามตะวันออกกลางดูเหมือนไม่บานปลาย
“ปัจจัยบวกปีหน้า คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนถ้าฟื้นจะดีทั่วโลก รวมถึงงบประมาณภาครัฐจะช่วยเสริม ส่วนปัจจัยที่ต้องจับตาคือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีหรัฐ แม้ว่าใครจะมาแต่ปัญหาเทรดวอร์ยังไม่หมดและถ้ารุนแรงจะทำให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาในไทย เพราะเพื่อนบ้านปิดประตู แต่ไทยรับหมด รวมถึงการขยายวงสงครามตะวันออกกลางจะส่งกระทบต้นทุนพลังงานและเงินบาทที่ผันผวน”
อย่างไรก็ตาม เอสซีจียังลงทุนอาเซียนต่อเนื่อง โดยช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายเติบโต 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนจากเวียดนามและอินโดนีเซีย