รู้จักโครงการ ‘นักสืบทุนเทา’ รวมพลังปราบสินค้าไร้มาตรฐาน-นอมินีต่างชาติ
"สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล" พารู้จักโครงการนักสืบทุนเทา กมธ.เศรษฐกิจ เปิดช่องทางร้องเรียน 6 เรื่อง Pain Point เช่น สินค้าไม่ได้มาตรฐาน ไม่มี อย. ไม่มี มอก. รวมนอมินี หลังกลไกรัฐทำงานล่าช้า หวังสร้างพลังจากภาคประชาชนแก้ปัญหาสำคัญกระทบผู้ประกอบการไทย
ปัญหาของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงธุรกิจนอมินีของบริษัทต่างชาติ ที่เข้ามาสร้างปัญหาให้ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เป็นปัญหาที่มีความรุนแรงและแก้ไขยากขึ้นเรื่อยๆในหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามประกาศเป็นแผนระดับชาติที่มีการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ
การไหลเข้ามาของทุนทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมายทำให้ตัวเลขที่ประเทศไทยขาดดุลการค้าในปีนี้ตลอดช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาไทยขาดดุลการค้าอยู่กว่า 2 แสนล้านบาท ขณะที่ในปี 2566 ที่ผ่านมาไทยขาดดุลการค้ากับประเทศที่เป็นคู่ค้าอย่างประเทศจีนในปี 2566 สูงถึง 1.3 ล้านล้านบาท หรือกว่า 7% ของจีดีพี
นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ประธานคณะกรรมาธิการ การพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร และสส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน กล่าวว่าปัญหาในเรื่องการทะลักเข้ามาของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมทั้งธุรกิจนอมินีที่ทะลักเข้ามาในไทยเป็นจำนวนมากส่งผลกระทบกับผู้บริโภค ผู้ประกอบการ และเศรษฐกิจไทยจะเห็นได้จากข่าวที่มีคนและชาวบ้านเดือดร้อนจำนวนมากซึ่งทุกคนก็ตั้งความหวังว่าภาครัฐจะมีมาตรการในการแก้ไขออกมาให้เป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตามหากดูในเรื่องของการทำงานของหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจจับโดยตรงการทำงานนั้นอัตราความเร็วและจำนวนในการแก้ไขปัญหาตามที่ประชาชนไปร้องเรียนนั้นไม่ทันแน่ๆเพราะกำลังคนที่มีอยู่จำกัด จึงไม่สามารถจะไปดำเนินการแก้ไขให้ได้รวดเร็วตามความต้องการและความเดือดร้อนของประชาชน
นายสิทธิพลยกตัวอย่างว่าในการดำเนินการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าของสำนักงานมาตฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) ในปี 2566 สมอ.สามารถดำเนินคดียึดอายัดสินค้าได้เพียง 200 ล้านบาทเท่านั้น จากสินค้าที่ไม่ได้มาตฐานที่อยู่ในท้องตลาดจำนวนมาก และเทียบกับมูลค่าสินค้า E-Commerce ที่มีมูลค่านับแสนล้านบาท ขณะที่สถิติในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) การดำเนินการกับสินค้าที่ไม่ได้มาตฐาน และไม่เป็นไปตามกฎหมาย สามารถดำเนินการกับผู้กระทำผิดทั้งหมดแค่ 954 ราย
แบ่งเป็นส่งเปรียบเทียบปรับ 767 ราย ส่งดำเนินคดี 31 ราย อยู่ระหว่างการดำเนินคดี 156 ราย ซึ่งการที่ยังดำเนินคดีได้น้อยนั้นส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าจำนวนของเจ้าหน้าที่ที่จะลงไปตรวจสอบสินค้านั้นมีจำนวนไม่เพียงพอ
เช่นเดียวกับการตรวจจับและกวดขันกลุ่มธุรกิจนอมินีที่ก็ต้องยอมรับว่ามีปัญหากับการตรวจน้อย มีโทษเบา และคดีต่างๆมีความคืบหน้าไปช้ากว่าที่ควรจะเป็น
เห็นได้จากสถิติที่มีการตรวจสอบนิติบุคคลไทยที่เข้าข่ายอาจเป็นนอมินีในปี 2566 โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ที่มีกลุ่มเป้าหมายที่ต้องตรวจสอบในกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 16,607 ราย ในพื้นที่ 9 จังหวัด ซึ่งพบว่ามีผู้ที่คัดกรองแล้วเข้าข่ายเพียง 439 ราย พบว่ามีพฤติกรรมเข้าข่ายนอมินี 8 รายเท่านั้นและส่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ไปขยายผลดำเนินคดีได้ 2 ราย ซึ่งถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ประชาชนคนไทยร้องเรียนว่าพบธุรกิจที่มีลักษณะนอมินีเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีไม่ถูกต้องมีพฤติกรรมคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มาในใบเสร็จ แต่ขอใบกำกับภาษีไม่ได้ เป็นต้น
ทั้งนี้ยังไม่รวมธุรกิจนอมินีที่เป็นธุรกิจขนส่งที่มีการขยายตัวมากในปัจจุบัน โดยมีข้อมูลว่ามีบริษัทขนส่งที่เป็นนอมินีเข้ามาสวมหัวธุรกิจไทยมาให้บริการขนส่งแบบผิดกฎหมายนับหมื่นคัน และยังมีธุรกิจนอมินีที่เข้ามาทำธุรกิจเกษตรรับซื้อสินค้าและส่งออกมีรายได้จากการรับซื้อสินค้าเกษตรในบางจังหวัดกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งหากปล่อยให้ธุรกิจนอมินีเติบโตไปเรื่อยๆในไทยก็จะยิ่งทำให้ผู้ประกอบการ และผุ้บริโภคคนไทยเสียเปรียบ และรัฐเสียรายได้เป็นจำนวนมาก
“ปัญหานี้ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม และกระจายไปทุกพื้นที่ ประชาชนเองก็รู้สึกว่าการแก้ปัญหาล่าช้า รัฐแก้ปัญหาไม่ได้ทั้งที่เห็นปัญหาอยู่เต็มตา ขณะข้าราชการระดับปฏิบัติการก็ทำงานเต็มที่ แต่มีข้อจำกัดทั้งเรื่องกำลังคน งบประมาณ และระยะเวลาในการทำงาน”
นายสิทธิพลกล่าวว่าปัจจุบันกรรมาธิการพัฒนาการเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร จึงได้ร่วมกับสมาคมาผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย จัดทำโครงการนักสืบทุนเทา เปิดให้ประชาชนแจ้งเรื่องร้องเรียนผ่านช่องทางไลน์ที่เป็นระบบทราฟฟี่ฟองดูว์ โดยให้แจ้งเบาะแส 6 ประเด็นสำคัญที่เป็น Pain Point หลักได้แก่
- สินค้าไม่มีอย.
- สินค้าไม่มี มอก.
- ลิขสิทธิ์/เครื่องหมายการค้า
- การจ่ายเงินเข้าบัญชีต่างชาติโดยตรง
- ร้านค้าคิด VAT แต่ไม่ออกใบกำกับภาษี
- ปัญหาการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติ
โดยเรื่องร้องเรียนจะวิ่งตรงไปที่หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเพื่อให้ไปดำเนินการตรวจสอบ และเอาผิด ได้แก่
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
- สมอ.
- การทรัพย์สินทางปัญญา
- ธนาคารแห่งประเทศไทย
- กรมสรรพากร
- กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ซึ่งการดำเนินการแบบนี้ช่วยให้ประชาชนสามารถชี้เป้าเบาะแสได้จากทั่วประเทศ กรรมาธิการสามารถติดตามต่อได้ และสามารถประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ โดยภายหลังจากที่เริ่มเปิดดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 18 ต.ค.2567 มาถึงปัจจุบันมีเรื่องร้องเรียนเข้ามาแล้วกว่า 270 เรื่องผ่านการคัดกรอง 202 เรื่อง ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี และเป็นอีกช่องทางหนึ่งจะทำให้เกิดการต่อสู้กับปัญหาขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆเหล่านี้
“ปัญหาที่เข้ามาอาจเป็นเพียงเครื่องสะท้อน แต่ปัญหาที่คนไทยเจอในความเป็นจริงใหญ่และน่าหนักใจกว่านี้มาก โครงการนี้จึงไม่ใช่การตัดขาคู่แข่ง แต่คือการเตะตัดขาคนโกงเพื่อให้ผู้ประกอบการรายเล็กๆน้อยๆของไทยสามารถแข่งขันได้มากขึ้นเพราะเชื่อว่ากาวก้าวหนึ่งก้าวพร้อมกันของคนไทย จะเกิดแรงสั่นสะเทือนกว่าการก้าวแสนก้าวของหน่วยงานเดียว” นายสิทธิพล กล่าว