เปิดแผน 'เอเชีย’ รับมือทรัมป์ สู้ดอลลาร์แข็งค่า ย้ายฐานจากจีน การค้าโลกป่วน
เอเชียเตรียมรับมือ “ทรัมป์” แบงก์ชาติติดตามค่าเงินใกล้ชิด "สภาพัฒน์" เร่งประเมินผลเลือกตั้ง "พิชัย" สั่งทูตพาณิชย์วิเคราะห์การค้าโลก" จีน "แถลงกระตุ้นเศรษฐกิจ "อินโดนีเซีย" เล็งแทรกแซงค่าเงิน "ไต้หวัน"ช่วยบริษัทย้ายฐานออกจากจีน "เกาหลีใต้" เพิ่มการดูแลค่าเงิน
“โดนัลด์ ทรัมป์” ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และเตรียมเข้ารับตำแหน่งสมัยที่ 2 ในเดือนม.ค.2568 ในขณะที่พรรครีพลับรีกันชนะการเลือกตั้งในสภาสูง (Senate) รวมทั้งลุ้นผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งผลการเลือกตั้งทั้งหมดจะมีผลต่อการขับเคลื่อนนโยบายของทรัมป์ในระยะ 4 ปี ข้างหน้า
นางสาวภาวิณี จิตต์มงคลเสมอ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนจากความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งสหรัฐ โดยหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เงินดอลลาร์ แข็งค่าขึ้น ตามการคาดการณ์แนวนโยบายระยะถัดไป ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องภูมิภาคมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ 34.20 บาท
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย 0.42% โดยการเคลื่อนไหวของเงินบาท และเงินทุนเคลื่อนย้ายยังอยู่ระดับปกติ โดยตลาดการเงินและค่าเงินบาทมีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่อง และ ธปท.ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด
รายงานข่าวจาก สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ชนะการเลือกตั้ง และพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งในสภาสูง (Senate) ซึ่ง สศช.กำลังติดตามนโยบายที่ทรัมป์จะแถลงอย่างเป็นทางการว่าเหมือนหรือต่างกับที่หาเสียงหรือไม่
“การประชุมหัวหน้าส่วนราชการ สศช.ได้แจ้งที่ประชุมทราบว่าให้เฝ้าระวัง และทำรายละเอียดที่อาจต้องชี้แจงถ้าสหรัฐเริ่มตั้งท่ากีดกันทางการค้า เพราะไทยเป็นประเทศที่อาจอยู่ในข่ายต้องเฝ้าระวัง โดยช่วงที่กีดกันการค้าที่ผ่านมาไทยโดนเพ่งเล็งเช่นกัน”
ก่อนหน้านี้ สศช.จัดทำรายงานพิเศษเรื่องแนวโน้มนโยบายสหรัฐหลังการเลือกตั้ง โดยทำสมมติฐานไว้ 4 กรณีที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งสหรัฐ ซึ่งกรณีพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งทั้งประธานาธิบดี และสมาชิกวุฒิสภา จะส่งผลต่อการผลักดันกฎหมายของประธานาธิบดี โดยกรณีที่พรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งทั้ง 2 ส่วนจะส่งผลต่อนโยบาย ดังนี้
1.นโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศ ของทรัมป์ และพรรครีพับลิกันมีแนวโน้มดำเนินมาตรการทางการค้าต่อจีนอย่างเข้มข้น โดยอาจนำไปสู่การขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 60% และขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าประเทศอื่นอีก 10%
2.การต่ออายุลดหย่อนภาษี ซึ่งเป็นมาตรการที่ทรัมป์เคยดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงบางจุด แต่มีการพูดถึงการลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% ลงมาเป็น 15% และจะยกเลิกแผนการขึ้นภาษีรายได้บุคคลธรรมดาของกลุ่มคนรวยที่สุดในสหรัฐที่ดำเนินการโดยรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน
3.นโยบายอุตสาหกรรม และสิ่งแวดล้อม จะแก้กฎหมาย และกฎระเบียบให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจสนับสนุนการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ลดบทบาทของกฎหมาย Inflation Reduction Act และยกเลิกเครดิตภาษีคาร์บอน
4.นโยบายด้านผู้อพยพ และแรงงานต่างชาติ นโยบายของทรัมป์ และนโยบายพรรครีพับลิกัน มีนโยบายงดการให้สิทธิการเป็นสัญชาติอเมริกันสำหรับเด็กที่เกิดในประเทศ แต่บุพการีไม่มีใบแจ้งการอพยพถิ่นฐาน
5.นโยบายสวัสดิการสังคม มีนโยบายในการปรับปรุง/ยกเลิก the Affordable Care Act โดยเพิ่มสัดส่วนค่าใช้จ่ายของประชาชน และให้แต่ละมลรัฐเป็นผู้กำหนดกฎหมายการทำแท้ง อีกทั้งสนับสนุนสิทธิในการถือครองปืนอย่างทั่วถึง
6.นโยบายการเมืองระหว่างประเทศ นโยบายของทรัมป์ และพรรครีพับลิกัน ได้แสดงจุดยืนยกเลิกความช่วยเหลือแก่ยูเครน แต่ให้การสนับสนุนอิสราเอล และมีจุดยืนที่ไม่สนับสนุน NATO
สั่ง “ทูตพาณิชย์” วิเคราะห์การค้าโลก
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้หารือผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ 58 แห่ง และสำนักงานพาณิชย์จังหวัด 72 จังหวัด เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจการค้า โดยกำชับเรื่องที่เร่งดำเนินการหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะส่งผลต่อนโยบายการค้าโลก รวมทั้งต้องเร่งหาโอกาสการค้า และการลงทุน
ทั้งนี้ ได้วิเคราะห์ว่าไทยจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ โดยไทยต้องวางให้ดีวางตัวเป็นกลางไม่เลือกข้าง และเป็นสวิตเซอร์แลนด์ของอาเซียนที่ใครก็อยากมาลงทุนทำการค้า
รวมทั้งในอดีตเห็นชัดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าไทยหลายรายการเพิ่มขึ้นจากสงครามการค้าที่ทำให้สหรัฐนําเข้าสินค้าจีนลดต่อเนื่อง และสินค้าไทยไปทดแทนการนำเข้าสินค้าจีน ซึ่งเชื่อว่าไทยจะเพิ่มการส่งออกไปสหรัฐได้มากขึ้น โดยสะท้อนจากมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐขยายตัว 15% ขณะที่การนําเข้าสินค้าจีนของสหรัฐลดต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่าจะเพิ่มการส่งออกไปสหรัฐได้มากขึ้น
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ไทยต้องถอดบทเรียนสงครามการค้าช่วงแรกเมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา โดยไทยไม่ใช่คู่กรณีโดยตรงคู่กรณีโดยตรง ในขณะที่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ส่งออกไปสหรัฐสูงขึ้น 7 เท่า ยางล้อรถยนต์เพิ่มขึ้น 2 เท่า เหล็กก็เพิ่มขึ้น 2 เท่า แสดงว่าไทยรักษาความเป็นกลางทางด้านการค้าได้ไม่ให้ตกเป็นคู่กรณี
ดังนั้นสงครามการค้าฉบับใหม่คาดเดายาก เพราะมีการเปลี่ยนแปลงตลอด ดังนั้นผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวไม่ว่าจะเป็นเชิงรุก โดยสร้างบรรยากาศการลงทุนให้เอื้อการย้ายฐานการผลิต และการตั้งให้ไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์เพื่อให้ตอบโจทย์การเคลื่อนย้ายของห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำกลางน้ำหรือปลายน้ำในอาเซียนที่จะมีการย้ายฐานการผลิตเข้ามา
จับตา ‘จีน’ แถลงกระตุ้น ศก.วันนี้
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า รัฐบาลจีนกำลังพิจารณาอนุมัติวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ 10 ล้านล้านหยวน (ราว 47 ล้านล้านบาท) ระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการสภาประชาชนแห่งชาติ (NPCSC) วันที่ 4-8 พ.ย.67 นี้ ซึ่งจะเสริมแกร่งเตรียมพร้อมกรณีหากทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสัปดาห์หน้า
การประชุมของจีนที่ตรงช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐวันที่ 5 พ.ย.67 จะทำให้ปักกิ่งยืดหยุ่นมากขึ้นในการปรับแพ็กเกจการคลัง รวมถึงขนาดวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ
รัฐบาลปักกิ่งอาจประกาศแพ็กเกจการคลังที่แข็งแกร่งขึ้นหาก “ทรัมป์” ชนะการเลือกตั้งเพราะจะสร้างปัญหาใหญ่ให้เศรษฐกิจจีนหนักขึ้น โดยทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีศุลกากรนำเข้าจากจีน 60% หากเขาชนะการเลือกตั้ง และจะขึ้นภาษี 10% กับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ
เยว่ ซู นักเศรษฐศาสตร์จากอีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนท์ ยูนิต มองว่ารัฐบาลจีนอาจเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรับมือนโยบายทรัมป์ โดยคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีมูลค่า 10 ล้านล้านหยวน โดย 6 ล้านล้านหยวน นำไปใช้จัดการหนี้แอบแฝงของรัฐบาลท้องถิ่น และ 4 ล้านล้านหยวนใช้ซื้อพันธบัตรพิเศษของรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนอสังหาริมทรัพย์
‘อินโดนีเซีย’ พร้อมแทรกแซงค่าเงิน
ธนาคารกลางอินโดนีเซียเปิดเผยเมื่อวันที่ 6 พ.ย.67 ว่า พร้อมบรรเทาความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน โดยใช้มาตรการสามฝ่ายทั้งในตลาด FX spot ตลาดรองพันธบัตร และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ไม่มีการส่งมอบ (NDF) หลังจากค่าเงินรูเปียห์ดิ่งลง 4.4% ในไตรมาสนี้ ท่ามกลางความกังวลว่าประธานาธิบดีทรัมป์อาจขึ้นภาษีศุลกากร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก
เพอร์รี วาร์จิโย ผู้ว่าการธนาคารกลางอินโดนีเซีย กล่าวต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 พ.ย.67 ว่า นโยบายการเงินของอินโดนีเซียจะมุ่งเน้นที่การรักษาเสถียรภาพในระยะสั้น เนื่องจากคาดว่าชัยชนะของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะกดดันค่าเงินรูเปียห์ให้ผันผวนมากขึ้นในระยะนี้ พร้อมระบุว่ามีความเป็นได้ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วย โดยในวันเดียวกัน ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นทันทีหลังมีแนวโน้มที่ทรัมป์จะชนะ และกดดันค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่าลง 0.6%
ผู้ว่าการแบงก์ชาติอินโดนีเซีย กล่าวว่า จะเน้นการรักษาเสถียรภาพค่าเงินรูเปียห์ในระยะสั้น โดยจำเป็นต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังในกรณีที่ทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดี เพราะอาจทำให้แนวทางการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เผชิญความไม่แน่นอน และทำให้ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มสูงขึ้น
“ดอลลาร์จะยังคงแข็งค่า บอนด์ยีลด์ และดอกเบี้ยสหรัฐจะยังคงอยู่ในระดับสูง และสงครามการค้าจะยังคงดำเนินต่อไป เหล่านี้จะเป็นเรื่องที่กระทบกับทุกประเทศ โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ และอินโดนีเซีย ในแง่แรงกดดันต่อค่าเงิน กระแสทุนที่ไหลเข้า-ออก และความผันผวนในตลาดการเงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่แบงก์ชาติต้องรับมืออย่างระมัดระวัง” วาร์จิโย กล่าว
‘ไต้หวัน’ ช่วยบริษัทย้ายฐานออกจากจีน
กัวจือฮุย รัฐมนตรีเศรษฐกิจไต้หวัน กล่าวต่อรัฐสภาไต้หวันว่า ไต้หวันจะช่วยบริษัทในการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน เพราะเป็นไปได้ที่บริษัทเหล่านี้จะได้ผลกระทบมากจากแผนการขึ้นภาษีของทรัมป์ ซึ่งประกาศไว้ระหว่างการหาเสียงว่าจะขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าจีนถึง 60% จนอาจเป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน
ทั้งนี้ บริษัทไต้หวันลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในจีนตลอด 4 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยใช้ประโยชน์จากต้นทุนที่ต่ำแต่รัฐบาลไต้หวันกังวลแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากจีนในการอ้างอธิปไตย กำลังเริ่มสนับสนุนบริษัทย้ายการลงทุนไปที่อื่น และยิ่งมีปัจจัยสนับสนุนมากขึ้นหลังการเลือกตั้งสหรัฐ
รัฐมนตรีไต้หวัน กล่าวว่า ผลกระทบจากภาษีศุลกากรของทรัมป์ต่อบริษัทไต้หวันที่ผลิตในจีน “ค่อนข้างมาก” ซึ่งรัฐบาลจะช่วยบริษัทไต้หวันให้ย้ายฐานการผลิตเร็วที่สุด
สำหรับความกังวลที่ทรัมป์อาจยกเลิกการอุดหนุนบริษัทผลิตชิปเบอร์หนึ่งจากไต้หวันอย่าง TSMC ที่ลงทุน 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในรัฐแอริโซนา สหรัฐนั้น มีแผนฉุกเฉินเตรียมรับมือแล้ว แต่เชื่อว่าเป็นเทรนด์ที่ TSMC จะขยายการผลิตไปสหรัฐมากขึ้น และมีแผนช่วยบริษัทต่างๆ ในห่วงโซ่อุปทานให้ย้ายไปสหรัฐมากขึ้น
‘เกาหลีใต้’ ตั้งหน่วยงานที่ปรึกษาใหม่
ชเวซังม็อก รัฐมนตรีคลังเกาหลีใต้ กล่าวในการประชุมกับบรรดาผู้กำหนดนโยบายวานนี้ว่า เกาหลีใต้จะใช้มาตรการเพื่อรับมือผลกระทบจากการเลือกตั้งสหรัฐ โดยคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง “ที่สำคัญ” หากโดนัลด์ ทรัมป์ยังดำเนินการตามที่หาเสียง
“หากนโยบายกลายเป็นจริงจะกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของเรา” ชเว กล่าว พร้อมระบุว่า รัฐบาลจะเปิดตัวหน่วยงานที่ปรึกษาใหม่ เพื่อกำกับดูแลตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ กลยุทธ์การค้า และความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ เศรษฐกิจเกาหลีใต้พึ่งการค้าสูงทำให้รัฐบาลกังวลมากต่อผลกระทบการค้าโลกหากทรัมป์ขึ้นภาษีตามแผนที่หาเสียง และส่งผลให้ค่าเงินวอนอ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดรอบ 2 ปี เมื่อคืนวันที่ 6 พ.ย.67 ที่ผ่านมา
โชแทยุล รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ กล่าวว่า พูดคุยบรรดาที่ปรึกษาคนใกล้ชิดของทรัมป์แล้ว และจะพยายามใช้วิธีทางการทูตทั้งหมดที่มีในการรักษาความร่วมมืออันใกล้ชิดกับรัฐบาลทรัมป์
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า เกาหลีใต้กำลังพิจารณาเพิ่มการนำเข้าพลังงานน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐ หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง เพื่อลดความเป็นไปได้ที่ทรัมป์อาจเพิ่มแรงกดดันต่อพันธมิตรทางการค้าที่รวมถึงเกาหลีใต้ด้วย
แหล่งข่าว เผยว่า เกาหลีใต้กำลังเผชิญกับความกังวลเกี่ยวกับ “ดุลการค้า” ที่เกินดุลกับสหรัฐ โดยเฉพาะในช่วงทรัมป์ดำรงตำแหน่ง ซึ่งให้ความสำคัญกับดุลการค้ามาก ทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้อาจต้องผลักดันให้บริษัทในประเทศเพิ่มการนำเข้าน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐเพื่อลดดุลการค้าส่วนเกิน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์