“แพทองธาร” หารือผู้บริหาร “ไมโครซอฟท์“ จับมือพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในไทย
นายกฯ แพทองธารจับเข่าคุยบิ๊ก Microsoft ร่วมกันเดินหน้าขับเคลื่อนความร่วมมือดิจิทัล มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลไทย ด้านบิ๊กโปรแกรม ชื่อดังมั่นใจไทยยังเป็นศูนย์กลางในภูมิภาค
วันศุกร์ที่ (14 พฤศจิกายน 2567) เวลา 15.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงลิมา ซึ่งช้ากว่าไทย 12 ชั่วโมง) ณ โรงแรม Swissotel กรุงลิมา ประเทศเปรู นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบหารือกับนาย Antony Cook รองประธานบริษัทและรองประธานที่ปรึกษาฝ่ายทั่วไปและบริการลูกค้าของบริษัท Microsoft (Corporate Vice President & Deputy General Counsel, Customer & Partner Solutions)
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่บริษัท Microsoft ที่มีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดกับประเทศไทย พร้อมสานต่อจากการพบหารือระหว่างอดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐาฯ กับนาย Satya Nadella ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Microsoft เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 เพื่อเดินหน้าประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค และกล่าวย้ำถึงการให้ความสำคัญและลงทุนในระบบนิเวศดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐาน และทักษะแรงงาน
โดยหวังว่าบริษัท “ไมโครซอฟท์“ จะเข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนเ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและความร่วมมือในด้านดิจิทัล ทั้งนี้ รัฐบาลไทยเดินหน้านโยบายอย่างครอบคลุมเพื่อเป้าหมายดังกล่าว โดย “Go Cloud First” ถือเป็นนโยบายในการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัลภายใต้แพลตฟอร์มเดียว จึงหวังที่จะกระชับความร่วมมือกับ Microsoft ในเรื่องนี้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี เห็นว่า เศรษฐกิจดิจิทัลถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงหวังที่จะใช้ศักยภาพและข้อได้เปรียบด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะการพัฒนาและยกระดับทักษะของมนุษย์เพื่อเตรียมกำลังแรงงานให้มีทักษะเพียงพอ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งนี้ ไทยพร้อมร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมดิจิทัลและการเติบโตทางเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายจิรายุ กล่าวต่อไป ว่า ”ผู้บริหารด้านบริหารระดับสูงของบริษัท Microsoft ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์และศักยภาพของไทย ในการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังพร้อมที่จะร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในประเทศไทย ในการฝึกอบรมทักษะดิจิทัลให้กำลังแรงงานไทย ซึ่งจะเพิ่มความประสิทธิภาพและความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยให้สูงขึ้นอีกด้วย