เปิดแผนไทยออยล์เคลียร์โครงการCFP ผู้รับเหมาช่วงหวังภาครัฐช่วยทวงค่าแรง
เปิดแผน "ไทยออยล์" เคลียรโครงการCFP ย้ำได้ข้อสรุปภายในต้นปี 2568 ก่อนรับฟังความเห็นผู้ถือหุ้น ด้าน "ผู้รับเหมาช่วง" หวังพึ่งภาครัฐช่วยเจรจาทวงค่าแรง
นายบัณทิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์โดยเร่งเจรจาปัญหาโครงการพลังงานสะอาด CFP กับผู้รับเหมาหลัก The Consortium of PSS Netherlands B.V. (Offshore Contractor) และ Unincorporated Joint Venture of Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. (เดิมชื่อ Samsung Engineering (Thailand) Co., Ltd.), Petrofac South East Asia Pte. Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. (Onshore Contractor) (เรียกรวมกันว่า “UJV – Samsung, Petrofac และ Saipem”)
ทั้งนี้ เพื่อให้ดำเนินการตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ โดยบริษัทฯ ขอยืนยันทุกแนวทางที่เจรจาจะมีการใช้สิทธิตามสัญญาที่มีอยู่ และรักษาผลประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้น จึงขอให้มั่นใจว่าบริษัทฯ จะมีแผนงานที่ชัดเจน โดยคาดว่าจะสรุปและเปิดเผยได้ในต้นปี 2568 และจะมีการเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) บริหารบริษัทฯ ให้เห็นชอบ หลังจากนั้นจะเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นซึ่งปกติจะมีการประชุมช่วงเดือนเมษายน 2568 เพื่อความโปร่งใส ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องทุกประการ
อย่างไรก็ตาม จากปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้โครงการCFP จะต้องล่าช้าจากแผนงานเดิมที่จะต้องแล้วเสร็จทั้งสิ้นภายในปี 2568 โดยทางออกจะมีความชัดเจนว่าโครงการจะกำหนดเสร็จสิ้นเมื่อใด ซึ่งอาจจะต้องเพิ่มเม็ดเงินลงทุน จากเดิมของเม็ดเงินลงทุนในโครงการดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 5,375 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ บริษัทอยู่ในระหว่างดำเนินการบริหารจัดการโครงการอย่างดีที่สุด ทางด้านการเจรจาสัญญา การควบคุมต้นทุน และบริหารความเสี่ยง
ทั้งนี้ จากความล่าช้าของโครงการฯ ที่ไม่ได้เปิดดำเนินการได้ตามกำหนดในปี 2568 มองว่าจะไม่ได้กระทบในแง่ผลดำเนินการของบริษัทฯ มากนัก เพราะหากดูจากภาพรวมของธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีในปีหน้า แม้ค่าการกลั่นจะดีขึ้นกว่าปีนี้บ้าง แต่จากคาดการณ์ว่าจะมีผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่สดใส และยังมีปัญหาสงครามการค้า หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีหน้าด้วย
นายบัณฑิต กล่าวว่า แม้ว่า โครงการCFP ในขณะนี้มีความก้าวหน้าประมาณ 90% โดยการก่อสร้างยังดำเนินการอย่างต่อเนื่องไม่ได้มีการหยุดก่อสร้างแต่อย่างใด ซึ่งจากปัญหาระหว่างผู้รับเหมาหลักกับผู้รับเหมาช่วง ได้ส่งผลทำให้มีการก่อสร้างลดน้อยลงจากแผนงานที่กำหนด ซึ่งบริษัทฯ มีความเห็นใจผู้รับเหมาช่วง และพยายามเจรจาทั้งผู้รับเหมาหลักและบริษัทแม่ให้จ่ายเงินคงค้างให้ผู้รับเหมาช่วงโดยเร็ว
ส่วนนโยบายของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของไทยออยล์ มีแผนจะเจรจากับพันธมิตร เพื่อเข้ามาร่วมทุนในธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีเพื่อความเข็มแข็งของกลุ่มปตท. นั้น มองว่าหากมีพันธมิตรเข้ามาร่วมทุนในโรงกลั่นไทยออยล์ ก็จะเป็นการดำเนินการโดยปตท. ซึ่งหากเข้ามาในช่วงที่กำลังก่อสร้าง CFP ก็จะทำให้เม็ดเงินการร่วมทุนของพันธมิตรจะจ่ายในวงเงินที่ต่ำกว่าช่วงที่โครงการCFP แล้วเสร็จ
ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากโครงการ CFP เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในด้านการกลั่นน้ำมันของบริษัทฯ และสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงงานของประเทศ ซึ่งจะให้ค่าการกลั่นและผลตอบแทนโดยรวมดีขึ้น เพราะมีหน่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และจะส่งผลทำให้กำลังกลั่นเพิ่มจาก 2.7 แสนบาร์เรลต่อวัน เป็น 4 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยจะมีการกลั่นดีเซลและน้ำมันเครื่องบิน (Jet) เพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้มีผู้สนใจที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรอยู่บ้างแล้ว
"ยืนยันสัญญาก่อสร้าง ( Engineering, Procurement and Construction : EPC) ระหว่าง ไทยออยล์ กับผู้รับเหมาหลักได้มีการพิจารณาอย่างรัดกุม ระบุหลักการสำคัญหลายประการในสัญญา เช่น การกำหนดขั้นตอนในการทดสอบและการส่งมอบโครงการ, การรับประกันคุณภาพ, เงื่อนไขความรับผิดชอบ และสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหาย เป็นต้น"
ทั้งนี้ หากเกิดกรณีผิดสัญญาหรือเลิกสัญญา บริษัทฯ สามารถที่จะเรียกร้องความเสียหายที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของสัญญา โดยที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าโครงการฯ นี้เกิดขึ้นและมีปัญหาช่วงโควิด-19 ซึ่งบริษัทฯ และผู้รับเหมาหลัก ได้ร่วมมือแก้ปัญหาและแก้ไขสัญญา EPC และได้ให้งบประมาณเพิ่มเติมอีก 550 ล้านดอลลาร์ไปแล้วตั้งแต่ปี 2562 จึงทำให้โครงการนี้วงเงินลงทุนเพิ่มเป็น 5,375 ล้านดอลลาร์
"บางเฟสที่ไม่เสร็จเพราะมีความยากในเรื่องของพื้นที่โรงกลั่นที่ต้องสร้างเป็นคอนโด มีความซับซ้อน และด้วยสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันทำนายยาก อีกทั้ง ปีหน้าดูจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มไม่โตตามคาด โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน ดังนั้น ต่อให้เฟสแรกเสร็จก็ไม่ควรเปิดบริการเพราะมาร์จิ้นจะไม่เยอะหากเทียบกับค่าเสื่อมราคา จึงไม่ต้องรอดูเศรษฐกิจ"
ด้านแหล่งข่าวจากผู้รับเหมาช่วง กล่าวว่า การที่ผู้รับเหมาช่วงได้ออกมาเรียกร้องให้ผู้รับเหมาหลักเร่งจ่ายเงินที่คงค้างรวมมากว่า 4,000 ล้านบาทนั้น ขณะนี้ UJV ได้เริ่มทยอยจ่ายหนี้คงค้างบางส่วนบ้างแล้ว แต่เนื่องจากหนี้คงค้างมีปริมาณสูงและผู้รับเหมาช่วงขาดสภาพคล่อง จึงไม่สามารถที่จะจ้างแรงงานเพื่อก่อสร้างโครงการได้ตามเดิม ที่มีการจัดจ้างกว่าหมื่นคน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้แม้จะไม่ได้ยุติการดำเนินโครงการลดเหลือไม่กี่พันคน และส่งผลให้โครงการฯ ต้องล่าช้า โดยผู้รับเหมาช่วง อยากเห็นรัฐบาลช่วยเจรจาให้ผู้รับเหมาหลักมาจ่ายเงินให้ครบตามสัญญาโดยเร็ว เพราะทั้งผู้ประกอบการและแรงงานเดือดร้อนอย่างหนัก
ทั้งนี้ จากที่ได้ยินวงในของกลุ่มผู้รับเหมาหลักและไทยออยล์ได้มีการหารือเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้เพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้ คือ 1. ไทยออยด์จะมีการเจรจากับผู้รับเหมาหลักเดิมให้ดำเนินโครงการฯ ต่อเพราะผู้รับเหมาถือว่ามีบริษัทแม่ที่มีทุนขนาดใหญ่ ซึ่งก่อนลงนามในสัญญาถือว่ามีบริษัทฯ แม่ค้ำประกัน ไม่ใช่ว่าจะมีการลงนามกับแบบง่ายๆ เพราะเป็นโครงการขนาดใหญ่ซึ่งจะต้องอิงสัญญาและการรักษาสิทธิของไทยออยล์ 2. เจรจากับผู้รับเหมารายใหม่โดยอาจจะเปิดให้มีผู้ร่วมทุนเพื่อเดินหน้าโครงการฯให้แล้วเสร็จ ซึ่งตรงนี้อาจจะต้องเพิ่มเงินลงทุนด้วย และ 3. เข้าสู่ขั้นตอนอนุญาโตตุลาการ