การค้าโลกระอุ “อียู”ร้อง“ดับเบิลยูทีโอ” “จีน”ขึ้นภาษีบรั่นดีจากยุโรป

การค้าโลกระอุ “อียู”ร้อง“ดับเบิลยูทีโอ” “จีน”ขึ้นภาษีบรั่นดีจากยุโรป

สหภาพยุโรปหรือ อียู ได้ขอหารือกับองค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อ 29 พ.ย. 2567 เกี่ยวกับข้อพิพาทที่จีนกำหนดภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดชั่วคราวสำหรับบรั่นดีที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป

“คำร้องขอการปรึกษาหารือดังกล่าวถือเป็นการเริ่มต้นข้อพิพาทอย่างเป็นทางการใน องค์การการค้าโลก การปรึกษาหารือจะให้โอกาสคู่กรณีได้หารือเรื่องนี้และหาทางออกที่น่าพอใจโดยไม่ต้องดำเนินคดีต่อไป แต่หากการปรึกษาหารือไม่สามารถแก้ไขข้อพิพาทได้ภายใน 60 วัน ผู้ร้องเรียนสามารถขอให้คณะลูกขุนตัดสินคดีได้”

รายงานข่าวจาก เวบไซด์ Global Time  ระุบว่า เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2567 จีนได้ตัดสินใจเปิดการสอบสวนการทุ่มตลาดสำหรับบรั่นดีบางชนิดที่นำเข้าจากสหภาพยุโรปตามคำร้องขอจากอุตสาหกรรมบรั่นดีในประเทศ 

จากนัั้น เมื่อวันที่ 29 ส.ค. กระทรวงพาณิชย์จีน หรือ  Ministry of Commerce (MOFCOM) ระบุว่า จากการประเมินเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าบรั่นดีที่นำเข้าจากสหภาพยุโรปเกี่ยวข้องกับการทุ่มตลาด ดังนั้น อุตสาหกรรมบรั่นดีในประเทศจึงตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคามที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย 

ตามประกาศของ MOFCOM เมื่อวันที่ 12 พ.ย.2567  ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับบริษัทที่ผู้นำเข้าสินค้าต้องวางมัดจำหรือหนังสือค้ำประกัน(provide deposits or letters of guarantee) ในสัดส่วนตั้งแต่ 30.6% ไปจนถึง 39.0% เพิ่มจากภาษีนำเข้าปกติ ซึ่งอัตราจะแตกต่างกันในแต่ละบริษัท 

“ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.เป็นต้นไป เมื่อนำเข้าสินค้าที่อยู่ระหว่างการสอบสวน ผู้นำเข้าจะต้องยื่นเงินมัดจำหรือหนังสือค้ำประกันให้กับเจ้าหน้าที่ศุลกากรของจีนตามอัตรากำไรจากการทุ่มตลาดที่ระบุไว้ในประกาศ ตามประกาศของ MOFCOM อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้เป็นเพียงมาตรการชั่วคราวเท่านั้น โดยตั้งข้อสังเกตว่าหากทั้งสองฝ่ายสามารถแก้ไขข้อกังวลและความกังวลของธุรกิจ และส่งเสริมการค้าที่เป็นธรรม ก็อาจสามารถหาทางออกที่เป็นไปได้”

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จีน (MOFCOM) อ้างว่า มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดชั่วคราวของจีนสำหรับบรั่นดีบางประเภทที่นำเข้าจากสหภาพยุโรปเป็นมาตรการแก้ไขการค้าที่ถูกต้องตามกฎหมายของWTO โดยฝ่ายจีนได้รับคำขอปรึกษาหารือจากสหภาพยุโรปเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวและจะดำเนินการตามกฎของ WTO

รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ ในเดือนพ.ค.2567 สหรัฐ ได้เพิ่มภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีนจาก 25% เป็น 100% ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลที่มีมายาวนานเกี่ยวกับ “แนวทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม” ของจีน 

จากนั้น ในเดือนก.ค.ปีเดียวกัน สหภาพยุโรปได้กำหนดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าจากจีนชั่วคราวสูงถึง 37.6% ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการสอบสวนการต่อต้านการอุดหนุนที่เปิดตัวโดยคณะกรรมาธิการยุโรปในเดือนต.ค.2566 แม้จะไม่ได้มีคำร้องจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศก็ตามม  

ต่อมาในเดือนส.ค.ปีเดียวกัน แคนาดาก็ได้ดำเนินการตามด้วยการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าของจีน 6.1% เป็น 100% โดยอ้างถึงปัญหาที่ทราบกันดีเกี่ยวกับนโยบายและการอุดหนุนภาคอุตสาหกรรมของจีน ซึ่งทำให้เกิดกำลังการผลิตเกินและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม

“แน่นอนจีนตอบโต้ทันทีและแข็งกร้าวด้วยมาตรการตอบโต้ต่างๆ มาตรการตอบโต้ที่โด่งดังที่สุดคือมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด ซึ่งมาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายที่เนื้อหมูและบรั่นดีของสหภาพยุโรป”

ในกรณีของแคนาดา การตอบโต้ของจีนนั้นรุนแรงยิ่งกว่า เรียกได้ว่ามาเป็นชุด โดยชุดเครื่องมือ(toolkit) สำหรับมาตรการตอบโต้ที่กำลังจะออกมา ซึ่งประกาศโดยกระทรวงพาณิชย์จีนเมื่อวันที่ 3 ก.ย.2567  ครอบคลุมการสอบสวนการทุ่มตลาดน้ำมันคาโนลาและผลิตภัณฑ์เคมีของแคนาดา รวมถึงการสอบสวนการเลือกปฏิบัติแยกต่างหาก ภายใต้กฎหมายการค้าต่างประเทศของจีน 

“จีนอาจดำเนินการอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อตอบโต้ข้อจำกัดทางการค้าที่เลือกปฏิบัติที่รัฐบาลต่างประเทศกำหนดต่อจีน แม้ว่าเครื่องมือต่อต้านการเลือกปฏิบัติจะเป็นทางเลือกทางนโยบายตั้งแต่ปี 2537 แต่ไม่เคยถูกนำมาใช้มาก่อน ดังนั้น จึงยังไม่ชัดเจนว่าจะดำเนินการสอบสวนอย่างไรและอาจใช้มาตรการใด”