ครม.ไฟเขียวกรอบการคลังระยะปานกลาง  2569 – 2572  ดันหนี้สาธารณะสูงสุด 69.3%

ครม.ไฟเขียวกรอบการคลังระยะปานกลาง  2569 – 2572  ดันหนี้สาธารณะสูงสุด 69.3%

"ครม." ไฟเขียวกรอบการคลังระยะปานกลาง  2569 – 2572  ดันหนี้สาธารณะสูงสุด 69.3% ชนเพดาน “คลัง” แนะเร่งลดขาดดุลงบประมาณ เพิ่มพื้นที่การคลัง

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลางในปีงบประมาณ 2569-2572 โดยได้กำหนดเป้าหมายลดระดับการขาดดุลงบประมาณลงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไปพิจารณาเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ ตัดลดรายจ่าย และรัฐวิสาหกิจ หรือกองทุนต่างๆ ลดการพึ่งพางบประมาณ เพื่อทำให้การจัดทำงบประมาณเข้าสู่ระดับสมดุลได้เร็วขึ้น

โดยหลักการสำคัญที่จะต้องดำเนินการ คือ

1.เพิ่มการจัดเก็บรายได้ให้ดีขึ้น

2.ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

และ 3.สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ

โดยรัฐบาลมีเป้าหมายดันให้จีดีพีปีหน้าโตได้ถึง 3%” หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการแล้ว กระทรวงการคลัง จะมีการเรียก 3 กรมจัดเก็บภาษีเพื่อหารือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการหารือกันอย่างต่อเนื่อง

“สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีนั้น จะปรับกลไกในการจัดเก็บภาษี และจะมีการออกภาษีตัวใหม่ๆ ออกมา อย่างไรก็ตาม จะเป็นลักษณะที่ไม่กระทบประชาชนในวงกว้าง และสร้างรายได้ให้รัฐ โดยที่ไม่เกิดผลกระทบในเชิงลบ”

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (24) เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลางปีงบประมาณ 2569 – 2579 ตามที่คณะกรรมการนโยบายการคลังของรัฐ เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาจัดทำกรอบวงเงินงบประมาณ โดยมีสาระสำคัญคือคาดการณ์เติบโตเศรษฐกิจและกรอบเงินเฟ้อระหว่างปี 2569 – 2572

โดยคาดว่าจีดีพีปี 2569 – 2571 จะขยายตัวในกรอบ 2.3 – 3.3% มีค่ากลางอยู่ที่ 2.8% ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ 0.7 – 1.7%  ส่วนในปี 2572 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ประมาณ 2.5 – 3.5% มีค่ากลางอยู่ที่ 3% และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.8 – 1.8%

ทั้งนี้ ในแผนการคลังระยะปานกลางของไทยนั้นยังเป็นแผนการขาดดุลงบประมาณต่อเนื่อง โดยรัฐบาลพยายามลดการขาดดุลงบประมาณลง และควบคุมให้ระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ในระดับ 70% ที่เป็นเพดานหนี้สาธารณะที่กำหนดไว้ โดยในช่วงปลายแผนงบประมาณในปี 2571 หนี้สาธารณระไทยจะแตะระดับ  69.3% จากเพดานที่กำหนดไว้ 70% โดยมีรายละเอียดของกรอบงบประมาณระยะปานกลางของประเทศดังนี้

  • ปี 2569 กรอบงบประมาณรายจ่าย 3.78 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 8.6 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการขาดดุลงบประมาณ 4.3% ของจีดีพี ระดับหนี้สาธารณะ ณ สิ้นปีงบประมาณอยู่ที่ 67.3%
  • ปี 2570 กรอบงบประมาณรายจ่าย 3.86 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 7.6 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการขาดดุลงบประมาณ 3.6% ของจีดีพี ณ สิ้นปีงบประมาณอยู่ที่ 68.5%
  • ปี 2571 กรอบงบประมาณรายจ่าย 3.97 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 7.2 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการขาดดุลงบประมาณ 3.3% ของจีดีพี ณ สิ้นปีงบประมาณอยู่ที่ 69.2%
  • ปี 2572 กรอบงบประมาณรายจ่าย 4.09 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 7.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการขาดดุลงบประมาณ 3.1% ของจีดีพี ณ สิ้นปีงบประมาณอยู่ที่  69.3%

ทั้งนี้ เป้าหมายและนโยบายการคลังระยะปานกลางของไทยนั้น ครม.รับทราบว่าปัจจุบันการคลังของไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายที่มีความหลากหลายมากขึ้นหลากหลายด้าน ทั้งจากการดำเนินนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะสั้น ท่ามกลางสถานการณ์ความเสี่ยงจากความผันผวนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นและอยู่ในเกณฑ์สูง และการดำเนินการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว ทั้งนี้จากการดำเนินนโยบายการคลังทั้งระยะสั้นและระยะยาวดังกล่าว

จึงอาจส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ และการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาล ก่อให้เกิดภาระทางการคลังที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นการดำเนินนโยบายการคลังระยะปานกลางภาครัฐควรมุ่งเน้นการฟื้นฟูสภาพทางการคลังให้กลับสู่ภาวะที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต ภายใต้แนวคิด “Restoring” โดยการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง ทั้งในด้านการเพิ่มรายได้อย่างเหมาะสม

สำหรับเป้าหมายการคลังของแผนการคลังยังมีความจำเป็นต้องจัดทำงบฯแบบขาดดุลเพื่อรักษเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และมุ่งปรับลดขนาดการขาดุลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในระยะปานกลาง

สำหรับเป้าหมายในระยะยาวรัฐบาลควรมุ่มสู่การดำเนินนโยบายการคลังอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงการรักษาระดับหนี้สาธารณะให้อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถบริหารจัดการได้ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ เพื่อให้การคลังของประเทศเข้าสู่จุดดุลภาพ รวมถึงสร้างความคล่องตัวในการรองรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างยืดหยุ่นและเหมาะสมด้วย