บทบาทไทยในกลุ่ม BRICS คงสมดุล "ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ" รับ “ปัจจัยทรัมป์”
กลุ่ม BRICS ที่ประชุมเมื่อวันที่ 23 ต.ค.2567 ที่รัสเซียเห็นชอบให้ 13 ประเทศ รวมประเทศไทย มีสถานะเป็นหุ้นส่วนพันธมิตร BRICS นั้น
สำหรับกลุ่ม BRICS ก่อตั้งโดย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และต่อมาคือ แอฟริกาใต้ ตามตัวอักษรของกลุ่มปัจจุบันเป็นกลุ่มความร่วมมือที่ถูกจับตามองว่าอาจก้าวมาท้าทายอำนาจของกลุ่มความร่วมมือที่มหาอำนาจตะวันตกควบคุมอยู่
พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้วิเคราะห์ถึงประโยชน์ของโดยในแง่การค้าระหว่างประเทศว่าหากไทยเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS จะช่วยส่งเสริมการส่งออกสินค้า ที่กลุ่ม BRICS นำเข้าจากไทยให้ขยายตัวมากขึ้น โดยปัจจุบันไทยมีสัดส่วนการส่งออกกับประเทศสมาชิก BRICS ประมาณ 19.2%
ในด้านตลาดการค้าไทยจะได้เข้าสู่ตลาดที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และจำนวนประชากร ขนาดเศรษฐกิจของกลุ่ม BRICS คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 4 ของขนาดเศรษฐกิจโลก และมีจำนวนประชากร รวมมากถึง 3,617.6 ล้านคน คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรโลก หรือสัดส่วน 45.5%
ด้านการสร้างโอกาสทางการลงทุน จะดึงดูดนักลงทุนจากกลุ่ม BRICS เข้ามาลงทุนในประเทศไทยทั้งในด้านการผลิต และการบริการ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย และช่วยให้เกิด การจ้างงานภายในประเทศ
“การเข้าร่วมกลุ่ม BRICS จะช่วยยกระดับบทบาทของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศจากจุดยืนความเป็นกลาง และแสวงหาสันติภาพ เปิดกว้างพร้อมรับการค้า และการลงทุนจากทุกประเทศ การเป็นพันธมิตรในกลุ่ม BRICS เป็นการกระชับความร่วมมือกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นมามีบทบาททางเศรษฐกิจ และการเมืองในอนาคต”
ด้านความเห็นจากบทความ “การเข้าร่วมกลุ่ม BRICS จะทำให้ไทย และมาเลเซียได้เปรียบในด้านเศรษฐกิจได้อย่างไร” โดย George Styllis เผยแพร่ใน www.asiapropertyawards.com ได้อ้างอิงความเห็นของ Jim O’Neill หัวหน้าคณะนักเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sachs ที่ระบุว่า นักวิเคราะห์ตะวันตกหลายคนสงสัยว่ากลุ่มเศรษฐกิจนี้จะแข็งแกร่งสมกับชื่อหรือไม่ เนื่องจากเป็นการรวมตัวของ “ความแตกต่างและความขัดแย้ง” ที่มีอยู่มากมายภายในกลุ่มจึงน่าจะสร้างผลกระทบ(impact)ต่อโลกไม่ได้มากนัก
อย่างไรก็ตาม สิบห้าปีต่อมา กลุ่ม BRICS ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้ที่คัดค้านกำลังคิดผิด เนื่องจากการพัฒนาความแข็งแกร่งท่ามกลางความแตกต่างทางอุดมการณ์ซึ่งก็ไม่ได้ถูกละทิ้ง
“กลุ่ม BRICS ประชุมกันทุกปี ตั้งแต่นั้นมา กลุ่ม BRICS ได้ขยายตัวจนรวม อิหร่าน อียิปต์ เอธิโอเปีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และยังมีอีกหลายประเทศรอคิวเข้าร่วมเป็นสมาชิก”
สำหรับประเทศไทย และมาเลเซีย กำลังจะเป็นอาเซียนที่เข้าไปมีบทบาทในเวทีใหญ่ที่มุ่งส่งเสริมการค้า และการเมือง สำหรับประเทศไทยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้เคยออกมาระบุว่า การเข้าร่วม BRICS จะทำให้ประเทศไทยมีบทบาทมากขึ้น และส่งเสริมศักยภาพของประเทศไทย
ด้านอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย กล่าวว่า การเข้าร่วม BRICS จะทำให้ประเทศมีอิสระทางเศรษฐกิจ และการเมืองมากขึ้น
หากจะถามหาเหตุผลที่ทำให้ กลุ่ม BRICS แข็งแกร่งในปัจจุบันก็จะพบว่า “อินเดีย” คือในฐานะที่เป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ได้เติมพลังให้กับ BRICS
อลิเซีย การ์เซีย-เฮอร์เรโร นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันวิจัย Bruegel ในกรุงบรัสเซลส์ กล่าวว่า ประเทศต่างๆ ในเอเชีย และแอฟริกามองว่าอินเดียเป็นปัจจัยถ่วงดุลที่สำคัญต่อองค์กรระดับโลกซึ่งนำโดยมหาอำนาจตะวันตก และย้ำชัดด้วยการระบาดของโควิด-19 ซึ่งประเทศร่ำรวยกักตุนวัคซีนไว้ ทำให้ประเทศกำลังพัฒนารู้สึกขมขื่น
“มันเกิดขึ้นแล้วความรู้สึกความแตกแยกระหว่าง “พวกเราและพวกเขา” จนทำให้ประเทศกำลังพัฒนารู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้นในประเด็นอื่นๆ เช่น การเมือง สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม”
นอร์เบิร์ต วิทธินริช ซีอีโอของ SEA Property ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ไทย และมาเลเซียในฐานะประเทศมหาอำนาจระดับกลางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มองว่าการเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS เป็นหนทางในการเพิ่มอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์บนเวทีโลก การเป็นสมาชิกยังช่วยเพิ่มแพลตฟอร์มการแสดงความกังวล และสนับสนุนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประเทศกำลังพัฒนาได้อีกด้วย
นอกจากนี้ การเข้าร่วมกลุ่มจะทำให้พวกเขาเข้าถึงเครือข่ายตลาดเกิดใหม่ที่กว้างขึ้น ลดการพึ่งพาตลาดตะวันตกแบบดั้งเดิม เช่น สหรัฐ และสหภาพยุโรป
“กลุ่ม BRICS จะส่งเสริมการค้าระหว่างไทย มาเลเซีย และจีน ผ่านโครงการ Belt and Road ของจีน ซึ่งมีการลงทุนบางส่วนในสองประเทศนี้ด้วย เช่น โครงการ East Coast Rail Link ในมาเลเซีย ซึ่งขยายไปจนถึงชายแดนไทย”
เจมส์ วู ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ประจำกรุงปักกิ่ง กล่าวว่า จีนต้องการใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นเช่นกัน เนื่องจากได้ลงทุนในโรงงานขนาดใหญ่ในทั้งสองประเทศที่ผลิตสินค้าทุกอย่างตั้งแต่เซมิคอนดักเตอร์ไปจนถึงชิ้นส่วนรถยนต์แล้ว
“การค้า และการลงทุนที่ขยายตัวอาจผลักดันความต้องการอสังหาริมทรัพย์ เช่น อสังหาริมทรัพย์อุตสาหกรรม โลจิสติกส์ และเชิงพาณิชย์ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม หากมองไปถึงเรื่องของการเข้าถึงแหล่งเงินทุนซึ่งเป็นกลไกสำคัญการขับเคลื่อนโปรเจกต์ต่างๆ นั้น ก็พบว่า“ธนาคารพัฒนาแห่งใหม่ของกลุ่มประเทศ BRICS” จะเป็นหนึ่งในข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับประเทศไทยและมาเลเซียในการเข้าร่วม BRICS โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่ซาอุดีอาระเบียซึ่งมีความมั่งคั่งมหาศาลเข้าร่วมกลุ่มแล้ว
อย่างไรก็ตาม แรงขับเคลื่อนนี้ถูกมองว่าส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับสหรัฐ ในกรณีของมาเลเซียซึ่งเป็นผู้รับผลประโยชน์หลักจากการค้า และการลงทุนของสหรัฐเช่นเดียวกับไทย ที่ได้รับประโยชน์จากสหรัฐซึ่งพยายามลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานที่จีน ในขณะเดียวกัน ไทยก็เป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการตามสนธิสัญญาที่ไทยต่อสหรัฐด้วย
“เมื่อไม่พอใจก็ควรจะละทิ้งไป แต่กลับพบว่า สหรัฐเร่งลงทุนในไทย และมาเลเซียเพื่อช่วงชิงอิทธิพลเหนือภูมิภาคนี้ ทำให้การเข้าเป็นสมาชิก กลุ่ม BRICS ยิ่งเป็นการกระตุ้นการลงทุนจากประเทศตะวันตกให้เข้ามาสู่ไทย และมาเลเซียมากขึ้น รวมถึงการหว่านล้อมให้เข้าร่วมสมาชิกองค์กรในฝั่งตะวันตกอย่าง องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการพัฒนา หรือ OECD เป็นต้น”
สำหรับทั้งสองประเทศ สงครามในฉนวนกาซา และยูเครน และความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นรอบๆ ไต้หวัน และทะเลจีนใต้ สะท้อนถึงการก้าวไปสู่โลกที่มีหลายขั้วอำนาจมากขึ้น ซึ่งอำนาจของสหรัฐก็ต้องถูกกัดกร่อนลง และอำนาจของจีนถูกทำให้ร่ำรวยขึ้น จากการพยายามเข้าร่วมกลุ่ม BRIC คือ การป้องกันความเสี่ยงสำหรับอนาคต รวมถึงปัจจัยท้าทายปัจจัย “ทรัมป์” ที่รอการแผลงฤทธิ์ในปี 2568 ที่จะถึงนี้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์