ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ-เยอรมนี กดดันราคาน้ำมันดิบ
ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงหลังขึ้นติดต่อกัน 5 วัน เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอจากทั้งสหรัฐอเมริกาและเยอรมนีกดดันตลาดพลังงาน
รอยเตอร์สรายงานว่า "ราคาน้ำมัน"ปรับตัวลดลงในวันจันทร์ (6 ม.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน หลังจากที่มีข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอจากสหรัฐอเมริกาและเยอรมนี ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มที่จะปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 12 สัปดาห์ เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง และพายุฤดูหนาวทำให้เพิ่มความต้องการพลังงานสำหรับการทำความร้อนในบ้านและธุรกิจในสหรัฐอเมริกา
หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบขึ้นติดต่อกันห้าวัน ราคาน้ำมันเบรนท์ (Brent) ตลาดล่วงหน้าลดลง 21 เซนต์ หรือ 0.27% ปิดที่ 76.30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) สัญญาล่วงหน้า ลดลง 40 เซนต์ หรือ 0.54% ปิดที่ 73.56 ดอลลาร์ ในวันจันทร์
การลดลงในตลาดอ้างอิงทั้งสอง ทำให้ราคาน้ำมันดิบหลุดออกจากแดนการซื้อมากเกินไปในเชิงเทคนิคเป็นครั้งแรกในรอบสามวัน
ในวันศุกร์ (3 ม.ค.) ราคาน้ำมัน Brent ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม และ WTI ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความคาดหวังในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาของจีน
ความสนใจในการซื้อขายพลังงานที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI ที่ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์นิวยอร์ก (New York Mercantile Exchange) พุ่งสูงถึง 1.933 ล้านสัญญาเมื่อวันที่ 3 มกราคม ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2023
นักวิเคราะห์จาก Eurasia Group บริษัทที่ปรึกษา ระบุในรายงานว่า “ตลาดน้ำมันเข้าสู่ปี 2025 ด้วยปัจจัยพื้นฐานด้านอุปทานและอุปสงค์ที่สมดุล แต่ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนมากขึ้นจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ”
“ในปีที่ดำเนินไป ตลาดน้ำมันน่าจะยังมีการเติบโตด้านอุปสงค์ต่ำ ซึ่งอาจจะต่ำกว่าอุปทานใหม่โดยเฉพาะจากสหรัฐ และอาจรวมถึงโอเปกด้วย” Eurasia Group กล่าว
ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยอดคำสั่งซื้อใหม่สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมลดลงในเดือนพฤศจิกายน ท่ามกลางความต้องการเครื่องบินพาณิชย์ที่อ่อนแอลง ขณะที่การใช้จ่ายของธุรกิจสำหรับอุปกรณ์ดูเหมือนว่าจะชะลอตัวลงในไตรมาสที่สี่ ตามข้อมูลการสำรวจของกระทรวงพาณิชย์
ส่วนเยอรมนี ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป อัตราเงินเฟ้อต่อปีเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ในเดือนธันวาคม เนื่องจากราคาอาหารที่สูงขึ้นและราคาพลังงานลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนๆ
ธนาคารกลางมักจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจและความต้องการพลังงานชะลอตัวลง
ในช่วงเช้าของวัน ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นเนื่องจากพายุฤดูหนาวพัดผ่านสหรัฐทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำหรับทำความร้อนในบ้านเรือนพุ่งสูงขึ้นถึง 11% ในวันจันทร์
ราคาน้ำมันดิบยังพุ่งสูงขึ้นในช่วงเช้าของวันเดียวกันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ร่วงลง 1.1% หลังจากที่หนังสือพิมพ์รายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำลังพิจารณาเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้านำเข้าที่สำคัญเท่านั้น ซึ่งอาจเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดให้กับประเทศต่างๆ ที่คาดว่าจะถูกเก็บภาษีศุลกากรสูงขึ้นในหลายหมวดสินค้า
อย่างไรก็ตาม ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฟื้นขึ้น หลังจากที่ทรัมป์ปฏิเสธรายงานดังกล่าว
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงทำให้สินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาเป็นดอลลาร์ เช่น น้ำมัน มีราคาถูกลงสำหรับผู้ซื้อที่ใช้สกุลเงินอื่น
ในจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก เงินหยวนปิดตลาดภายในประเทศที่ระดับอ่อนค่าที่สุดในรอบ 16 เดือนเทียบกับดอลลาร์สหรัฐโดยได้รับผลกระทบจากความกังวลด้านการค้า
ด้านบริษัท Saudi Aramco ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ปรับขึ้นราคาน้ำมันดิบสำหรับผู้ซื้อในเอเชียในเดือนกุมภาพันธ์เป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความคาดหวังด้านอุปสงค์ที่แข็งแกร่งขึ้น