ราคาน้ำมันดิบพุ่ง หลังสหรัฐคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันรัสเซีย

ซีเอ็นบีซีรายงานว่า เมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้น 2.84 ดอลลาร์ หรือพุ่งขึ้น 3.69% ปิดที่ 79.76 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.65 ดอลลาร์ หรือ 3.58% ปิดที่ 76.57 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม

มาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวมีเป้าหมายไปที่บริษัทน้ำมันของรัสเซียอย่าง Gazprom Neft และ Surgutneftegas และบริษัทในเครือ เรือบรรทุกน้ำมันมากกว่า 180 ลำ และเจ้าหน้าที่และผู้บริหารด้านพลังงานของรัสเซียหลายคน ผู้บริหารที่ถูกคว่ำบาตร ได้แก่ อเล็กซานเดอร์ วาเลริเยวิช ดิวคอฟ ซึ่งเป็นซีอีโอของบริษัท Gazprom Neft

กระทรวงการคลังสหรัฐระบุว่า เรือที่ถูกคว่ำบาตรส่วนใหญ่เป็นเรือบรรทุกน้ำมันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “กองเรือเงา” ของรัสเซียที่หลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรการส่งออกพลังงานของประเทศ

“สหรัฐกำลังดำเนินการกวาดล้างแหล่งรายได้หลักของรัสเซียในการระดมทุนสำหรับสงครามอันโหดร้ายและผิดกฎหมายกับยูเครน” เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวในแถลงการณ์

“ด้วยการดำเนินการในวันนี้ เรากำลังเพิ่มความเสี่ยงจากการคว่ำบาตรที่เกี่ยวข้องกับการค้าขายน้ำมันของรัสเซีย ซึ่งรวมถึงการขนส่งและการอำนวยความสะดวกทางการเงินเพื่อสนับสนุนการส่งออกน้ำมันของรัสเซีย” เยลเลนกล่าว

บ็อบ ยาวเกอร์ กรรมการบริหารฝ่ายซื้อขายล่วงหน้าด้านพลังงานของ Mizuho Securities กล่าวในบันทึกถึงลูกค้าเมื่อวันศุกร์ว่า โรงกลั่นน้ำมันของอินเดียและจีนที่นำเข้าน้ำมันจากรัสเซียจะต้องแย่งซื้อน้ำมันจากตะวันออกกลาง

รัฐบาลของไบเดนพยายามเพิ่มแรงกดดันต่อรัสเซียและให้ความช่วยเหลือยูเครนก่อนว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่ง

“รัฐบาลของไบเดนเลือกที่จะใช้มาตรการคว่ำบาตรด้านพลังงานที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ในขณะที่ตลาดน้ำมันนิ่งนอนใจมากเกินไปเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการคว่ำบาตร” บ็อบ แม็กนาลลี ประธานบริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงาน Rapidan Energy Group กล่าว

“ดังนั้น เราคาดว่าเบี้ยประกันความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของเบรนต์ในวันนี้จะคงอยู่เพื่อรอสัญญาณจากทีมของทรัมป์ว่าพวกเขาจะยังใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อไปหรือไม่” แม็กนาลลีกล่าว