“ปิยะชาติ” แห่ง “BRANDi” กับ 4 ประเด็นสำคัญจาก World Economic Forum 2025 Davos

"ปิยะชาติ อิศรภักดี" ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงแห่งแบรนดิ แอนด์ คอมพานีส์ นักธุรกิจไทยหนึ่งเดียวในสภาที่ปรึกษาอนาคต ของ World Economic Forum ฉายภาพ 4 ประเด็นที่น่าสนใจที่ได้จากการเข้าร่วมเวที World Economic Forum ในปีนี้
KEY
POINTS
- เวที World Economic Forum ที่ดาวอสในปีนี้มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ
- ในมุมมองของ "ปิยะชาติ อิศรภั
การประชุมประจำปีของ “World Economic Forum” (WEF) เวทีการประชุมระดับโลกที่จัดขึ้นปีละครั้ง ถือเป็นเวทีหลักที่รวบรวมผู้นำจากภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขามาหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และประเด็นอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อโลก
การประชุม WEF ในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 -24 ม.ค.ที่ผ่านมาได้รับความสนใจอย่างมากจากคนไทย นอกจากเป็นเวทีที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เดินทางไปร่วมประชุมด้วยตัวเอง ยังมีผู้นำจากหลายองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนเดินทางไปร่วมประชุมที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ด้วย
“กรุงเทพธุรกิจ” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “คุณอาร์ม” ปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แบรนดิ แอนด์ คอมพานีส์ จำกัด ซึ่งเป็นนักธุรกิจไทยหนึ่งเดียวในสภาที่ปรึกษาอนาคต (Global Future Council) ของ World Economic Forum และเป็นนักธุรกิจไทยหนึ่งเดียวที่ได้รับเชิญเข้าร่วมงาน “TIME100 Davos Dinner” เกี่ยวกับประเด็นที่น่าสนใจที่เวที WEF ที่ดาวอสได้พูดคุยกันในปีนี้เกี่ยวกับความเป็นไปของโลกในปัจจุบัน และในอนาคต
“ปิยะชาติ” สรุปประเด็นสำคัญที่ได้จากเวที WEF ด้วย 4 คำสั้นๆที่ชวนติดตาม ได้แก่ “ตื่นตูม” “แตกแยก” “ตีบตัน” และ “ตกต่ำ”
1.ตื่นตูม เนื่องจากการประชุมครั้งนี้จัดขึ้นในช่วงเวลาที่โดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งเข้ามาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯในสมัยที่ 2 ทำให้ในการประชุมครั้งนี้เกือบจะทุกหัวข้อที่พูดคุยกัน จะเริ่มต้นจากการถามความเห็นต่อ Trump 2.0 ซึ่งมีความเป็นได้สูงที่นโยบายของสหรัฐฯ นับจากนี้ อาจจะเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดระเบียบโลกใหม่ นอกเหนือจากนั้นยังมีประเด็นเรื่องของ Tech 2.0 ซึ่งประเด็นที่หลายคนจับตามองกันว่า จะมีการนับเอาเทคโนโลยมีมาเป็นเครื่องมือในการแข่งขันใหม่ ทั้งในมุมการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างสหรัฐฯและจีน ซึ่งมีประเด็นสำคัญโดยทุกวันนี้ เราจะเห็นการแข่งขันกันที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นในประเด็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(AI) ทั้ง Trump และ Tech 2.0 จะทำให้เกิดกระแสปั่นป่วนในโลก หรือทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “ตื่มตูม” นั่นเอง ซึ่งมีโอกาสจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน รุนแรง และยากต่อการคาดเดา
2.แตกแยก การประชุมที่ดาวอสในปีนี้ ประเด็นหนึ่งที่มีการพูดถึงมาก (และถูกกล่าวถึงเป็นประจำแทบทุกปี) คือ เรื่องของการขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) แต่ในครั้งนี้ บทสนทนาดูจะเข้มข้นกว่าเดิม เพราะต้องยอมรับว่า หลักจากโควิดไม่นาน โลกกลับมาสู่ภาวะที่มีความขัดแย้งระดับรัฐมากที่สุดในรอบ 76 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง หลายประเทศเริ่มจะจับกลุ่มกันเป็นหลายขั้ว (multipolar) แล้วแต่ละขั้วก็จะพยายามดึงประเทศต่างๆไปเป็นพวกเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรอง ทำให้ประเทศที่อยู่ตรงกลาง หรือพยายามที่จะคงสถานะเป็นกลางนั้นวางตัวลำบากมากยิ่งขึ้น
หลายเวที ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจนระหว่างความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ กับการต่อรองทางเศรษฐกิจ ทำให้มิติในการถกเถียงก้าวข้ามจาก Geopolitics ไปสู่ Geoeconomics มากขึ้น จะเห็นได้ว่า ท่ามกลางความขัดแย้งระดับรัฐนั้น กว่า 40% มีสาเหตุมาจากความพยายามในการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ ที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นในมิติทางการค้า พลังงาน หรือทรัพยากรต้นน้ำที่ใช้ในภาคการผลิต เช่น ชิป (Chip) เป็นต้น ทั้งหมดล้วนเป็นชนวนที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงและบานปลายขึ้นในอนาคต
3.ตีบตัน การเติบโตของเศรษฐกิจโลกเริ่มเจอกับข้อจำกัดต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น เพราะโลกกำลังเจอกับภาวะตีบตันทางเศรษฐกิจในการประชุมหลายเวที ก็ได้พูดคุยกันว่าการที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกกลับไปขยายตัวเทียบเท่ากับค่าเฉลี่ยนในช่วงก่อนที่จะเกิดโควิด-19 หรือประมาณ 4% ต่อปีนั้น กลายเป็นเรื่องที่แทบจะไม่มีใครมองเห็นได้ชัด ทั้งนี้ด้วยตัวเลขคาดการณ์ในปัจจุบันที่ IMF มองไว้ประมาณ 3.3% ต่อปีนั้น อาจไม่มากพอที่จะทำให้เกิดการเติบโต ที่สามารถแก้ปัญหาที่โลกกำลังเผชิยหน้าอยู่ได้ ซึ่งการพูดคุยกันในหลายเวทีนั้นเป็นไปอย่างเข้มข้น แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่า อะไร คือ เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ (New Growth Engine) ที่จะเคลื่อนให้เศรษฐกิจโลกเติบโตไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ การปลดล็อคหรือการแก้ปัญหาความตีบตันของเศรษฐกิจโลกจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในสภาวะที่ประเทศต่างๆ ล้วนแล้วแต่แบกรับภาระหนี้สาธารณะจำนวนมหาศาลและรายจ่ายภาครัฐที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้นทุกวันจากโครงสร้างสังคมและประชากรใหม่
นอกจากนั้น ยังมีเรื่องรูปแบบของการลงทุน เพราะในขณะที่ทุกประเทศ พยายามแย่งชิงส่วนแบ่งการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้ามาลงทุนในประเทศจำนวนมาก เรากลับได้เห็นประเทศมหาศาลอำนาจส่วนใหญ่ พยายามดำเนินนโยบายการเติบโตแบบ Protectionism โดยมีการออกนโยบายประกาศดึงการลงทุนกลับไปยังประเทศของตนเอง เช่น สหรัฐฯ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเลยว่า ให้บริษัทต่างๆกลับมาลงทุนในประเทศ ซึ่งเท่ากับจากเดิม บริษัทข้ามชาติในสหรัฐฯ ซึ่งมักจะเป็น Main Investor ในประเทศอื่นๆ ตามนโยบาย Globalization กำลังดำเนินการที่เรียกว่า “divestment” หรือถอนการลงทุนกลับไปยังประเทศต้นทาง
ถึงแม้ว่าในหลายเวทีสนทนาจะยังคงมีความเชื่อว่า การปฏิวัติความฉลาด หรือ Intelligence Revolution ของ AI จะมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แล้วเรายังไม่เห็น Game Changing Applications ที่จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้น ซึ่งตอนนี้ ก็เริ่มมีคำถามกันเยอะว่า การลงทุนมหาศาลของ AI นั้นจะเกิดผลตอบแทนทางเศรษฐกิจกลับมาในระยะเวลาเท่าไหร่ มีความต้องการ มีตลาดที่มีกติกาชัดเจน และมีขนาดใหญ่หรือไม่ เพราะจนถึงตอนนี้ ต้องยอมรับว่าคำตอบของอนาคต AI ยังเป็นข้อถกเถียงระหว่างชุมชนที่สนับสนุนกับชุมชนที่กังวลว่า วันหนึ่ง AI จะก้าวไปสู่จุดเราไม่สามารถควบคุมได้
และ 4.ตกต่ำ ประเด็นเรื่องของคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ตกต่ำลง เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เวทีที่ดาวอสในปีนี้ให้ความสำคัญ สิ่งที่พูดคุยในครั้งนี้คือผลที่เกิดจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น (ซึ่งดูเหมือนว่าเราจะช้าเกินกว่าที่ควบคุมมันได้) จนทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบสนับสนุนของโลก (Earth Support System) ซึ่งแน่นอนว่า ด้วยปัญหาที่ใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน ด้วยเงื่อนไขแวดล้อมในตอนนี้ โอกาสของการทำให้อุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยไม่เพิ่มขึ้นเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2050 นั้น ดูจะไม่ใช่ตัวเลขบทความเป็นจริงสักท่าไหร่ เพราะถึงแม้ว่าเราจะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญก็ประเมินว่าเราอาจจะทำได้เพียงการควบคุมไม่ให้เกิด 1.8 องศาเซลเซียส ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศในโลกนั้นเมื่อเกิดขึ้นอย่างรุนแรงจะทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจเช่นกัน
จับตาโลก 3 ขั้ว
ปิยะชาติยังกล่าวทิ้งท้ายถึงประเด็นที่น่าสนใจว่า การเติบโตนับจากนี้ จะต้องพูดถึงเรื่องของ “โลก 3 ขั้ว” หรือ “Tripolar World” มากขึ้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว โลกไม่ได้มีการแข่งขันกันเฉพาะขั้วของสหรัฐฯ และจีนเท่านั้น แต่ยุโรปเอง ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีความยิ่งใหญ่และเป็นมหาอำนาจมาก่อน ก็พยายามที่จะทวงคืนพื้นที่และสถานะของตัวเองเช่นกัน
ทั้งนี้ผู้นำของสหภาพยุโรปได้อล่าวไว้อย่างทรงพลังว่า ยุโรปเองก็มีจุดแข็งมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและค่าเงินยูโรในระดับที่น่าพอใจ มีประวัติศาสตร์ระเบียบแบบแผนที่เป็นผู้นำในหลายด้าน หากสามารถปลดล็อคการสร้างนวัตกรรมได้ดังเช่นในอดีต ก็จะทำให้ยุโรปเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างสมดุลใน Game of Power ของโลกได้ด้วยเช่นกัน