‘แพทองธาร’ เร่งเครื่องกระตุ้นเศรษฐกิจ อัดเม็ดเงิน 2.6 แสนล้านครึ่งปีแรก

“รัฐบาล” เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ นายกฯนั่งประธานบอร์ดกระตุ้นปลาย ก.พ.นี้ ชงดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 สศช.เผยเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ครึ่งแรกปี 68 กว่า 2.6 แสนล้าน ครึ่งปีหลังเบิกจ่ายลงทุนรัฐวิสาหกิจ ส.อ.ท.เสนอรัฐจัดลำดับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ แจกเงินหมื่นหมุนในประเทศ
KEY
POINTS
- "แพทองธาร" เตรียมนั่งประธานประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจสัปดาห์หน้า เคาะโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจดันจีดีพีให้ได้เป้า 3 - 3.5% ตามนโยบายรัฐบาล
- นอกจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 วงเงิน 1.5-1.6 แสนล้าน ยังมีโครงการอื่นๆ ที่จะลงสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกรวมเม็ดเงินกว่า 2.6 แสนล้านบาท
- ส่วนช่วงครึ่งปีหลังฝากความหวังไว้กับโครง
การประกาศตัวเลขจีดีพีของไทยที่ขยายตัวได้ 2.5% ในปีที่ผ่านมาเกือบจะต่ำสุดในอาเซียน ทำให้รัฐบาลต้องเร่งการทำงานในการ กระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้เศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3% และพยายามเร่งให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ถึง 3.5%
โดยขณะนี้กระทรวงการคลังในฐานะอนุกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจกำลังเตรียมนโยบายที่จะเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา รวมทั้งการกระตุ้นการลงทุนในโครงการของรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะโครงการที่มีการเบิกจ่ายเกิน 1 หมื่นล้านภายในปีนี้
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานครั้งต่อไปจะประชุมปลายเดือน ก.พ.2568
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวว่า กระทรวงการคลังในฐานะอนุกรรมการโครงการการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเสนอวาระสำคัญ ได้แก่ ความพร้อมของการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ระยะที่ 3 ซึ่งรัฐบาลแจกผ่านระบบดิจิทัลวอลเล็ตในแอปทางรัฐเหมือนที่เคยวางแผนไว้ตั้งแต่แรก
นอกจากนี้กระทรวงการคลังจะเสนอแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ถึง 3.5% ซึ่งก่อนหน้านี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ทำแผนที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้มากกว่า 3% โดยมีเป้าหมายให้เพิ่มอีก 0.5% ใน 5 แผนงานได้แก่
1.การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2568 ทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายโดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน ซึ่งจากข้อมูลในปีที่ผ่านมาการเบิกจ่ายงบประมาณในการลงทุนอยู่ที่ 75% หากสามารถผลักดันการลงทุนการเบิกจ่ายการลงทุนให้เพิ่มขึ้นเป็น 80% หรือเพิ่มขึ้นอีก 5% ก็จะมีเม็ดเงินลงทุนลงสู่ระบบเศรษฐกิจอีก 4.65 หมื่นล้านบาท ช่วยดันจีดีพีเพิ่มขึ้นได้อีก 0.11%
2.การติดตามกระบวนการใช้จ่ายของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หรือการแจกเงิน 10,000 บาทในเฟสที่ 3 ที่จะเบิกจ่ายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ทั้งนี้ต้องติดตามและหาแนวทางจูงใจให้มีการนำเงินที่รัฐจะแจกในเฟสที่ 3 ให้ไปใช้จ่ายเพื่อสร้างการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ ซึ่งส่วนนี้จะช่วยเพิ่มจีดีพีในปี 2568 ได้อีก 0.1%
3.การเร่งรัดการลงทุนโครงการบ้านเพื่อคนไทยเพื่อให้เกิดการลงทุนตามแผนงาน ซึ่งปีนี้จะเห็นโครงการเริ่มก่อสร้าง คาดว่ามีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ 830 ล้านบาท ช่วยผลักดันจีดีพีได้อีก 0.002% ยังไม่นับรวมเชื่อมโยงการผลิตไปข้างหน้า (Forward Linkage) ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเริ่มการก่อสร้างในโครงการ
4.การกระตุ้นการท่องเที่ยวในภาพรวมและช่วงปลายปีที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 โดยหากเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้ถึง 5 แสนคน จะช่วยเพิ่มจีดีพีในปี 2568 ได้ประมาณ 0.15%
5.การเร่งรัดโครงการการลงทุนของภาคเอกชนหลังได้รับการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนแล้ว โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Data Center และ Cloud Region เพื่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนจริงสู่ระบบเศรษฐกิจและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทย
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีโครงการที่รอการลงทุนอยู่แล้วหลายโครงการ เช่น ของกูเกิล และ Amazon Web Services (AWS) หากเร่งรัดให้เกิดการลงทุนในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 7.5 หมื่นล้านบาท จะช่วยจีดีพีในปี 2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีก 0.19%
2.6 แสนล้านลงระบบเศรษฐกิจครึ่งปีแรก
สำหรับเม็ดเงินที่จะลงสู่ระบบเศรษฐกิจในปีนี้นอกเหนือจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่าโครงการเบิกจ่ายและการลงทุนของภาครัฐจะมีเม็ดเงินลงในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 จะมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ 260,150 ล้านบาท ซึ่งบางโครงการจะส่งผลต่อเนื่องไปยังช่วงครึ่งหลังของปี 2568 โดยโครงการที่มีการระบุตัวเลขวงเงินมี่ลงสู่ระบบเศรษฐกิจชัดเจนได้แก่
1.โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ โดยเมื่อวันที่ 27 ม.ค.2568 ที่ผ่านมารัฐบาลได้โอนเงิน 10,000 บาทให้แก่กลุ่มเป้าหมาย โดยโอนสำเร็จแล้ว 2,825,076 คน ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียน 28,250.76 ล้านบาท
2.โครงการ Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาทต่อราย สิ้นสุดโครงการวันที่ 28 ก.พ.นี้ โดยคาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิ์ประมาณ 1.4 ล้านคน คิดเป็นวงเงินที่จะมีการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของประชาชนในโครงการนี้ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท
3.โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2568 แล้วกว่า 11,900 ล้านบาท โดยคาดว่าโครงการนี้จะเริ่มทำประชาคมหมู่บ้าน ช่วงปลายเดือน ก.พ.2568 และชุมชนหมู่บ้านจะเสนอโครงการขอรับการพิจารณาในเดือน มี.ค2568
4.โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 ซึ่งโครงการนี้รัฐบาลจะแจกเงินให้กับผู้เข้าร่วมโครงการคนละ 10,000 บาท โดยโครงการนี้รัฐบาลจะให้ดำเนินการผ่านกลไกระบบดิจิทัลแอปพลิเคชั่นทางรัฐ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์เดิมของโครงการ ซึ่งหากทันไตมาส 2 ปีนี้ จะมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจอีก 1.6 แสนล้านบาท โดยบางส่วนจะเป็นโมเมนตัมขับเคลื่อนเศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังของปีด้วย
บัตรสวัสดิการแห่งรัฐจ่อลงทะเบียน 25 ล้านคน
นอกจากนี้ยังมีโครงการของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแต่ยังไม่สามารถระบุเม็ดเงินที่เกิดกับระบบเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ได้ เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ เช่น การกำหนดอัตราค่าครองชีพของลูกจ้าง ตามความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง และสภาพเศราฐกิจโดยรวม ที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการไตรภาคีได้เสนอให้ ครม.รับทราบการปรับขึ้นค่าจ้างวันละ 7 -55 บาท
ทั้งนี้ การเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในเดือน มี.ค. ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะมีการเปิดลงทะเบียนอีกครั้ง โดยคาดว่าผู้ที่ยื่นขอบัตรสวัสดิการรอบนี้จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 25 ล้านคน จากผู้มีสิทธิ์เดิม 14.5 ล้านคน และผู้ลงทะเบียนใหม่อีก 10 ล้านคน โดยในปีงบประมาณ 2567 มีการเบิกจ่ายงบประมาณของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกว่า 61,907 ล้านบาท
แนะเร่งรัฐวิสาหกิจเบิกจ่าย
นอกจากนี้ สศช.ระบุด้วยว่าในปี 2568 รัฐบาลควรให้ความสำคัญต่อการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนและการติดตามความคืบหน้าของ 20 โครงการลงทุนสำคัญของรัฐวิสาหกิจในปี 2568 ให้เป็นไปตามแผน โดยการเร่งรัดโครงการที่กำลังจัดซื้อจัดจ้างให้สามารถลงนามในสัญญาโดยเร็ว
ทั้งนี้โครงการลงทุนสำคัญดังกล่าวมีวงเงินเบิกจ่ายลงทุนประมาณ 90,282.3 ล้านบาท หรือคิดเป็น 34.2% ของกรอบงบลงทุนรัฐวิสาหกิจปี 2568 โดยมีโครงการลงทุนซึ่งมีวงเงินเบิกจ่ายลงทุนในปี 2568 สูงกว่า 10,000 ล้านบาท 2 โครงการ ได้แก่
1.โครงการารรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน กรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) วงเงินเบิกจ่าย 14,722.7 ล้านบาท
2.โครงการถไฟฟ้าสาสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ วงเงินเบิกจ่าย 12,393.7 ล้านบาท
ส.อ.ท.แนะรัฐเพิ่มสัดส่วนสินค้าในประเทศ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ภาคเอกชนเห็นด้วยกับการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อรักษาโมเมนตัมในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามมีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องจัดลำดับความสำคัญว่าในการกระตุ้นเศรษฐกิจจะทำอะไรก่อนหลัง และจะมีกลไกอะไรที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ปัจจุบันปัญหาเรื่องของกำลังซื้อของประชาชนในประเทศ และสภาพคล่องของธุรกิจโดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีถือว่าเป็นปัญหาสำคัญที่จะต้องแก้ไข โดยในส่วนของสภาพคล่องของประชาชนนั้นช่วยได้โดยมาตรการการลดดอกเบี้ย ซึ่งในส่วนนี้มองว่าหากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการลดดอกเบี้ยลงธนาคารพาณิชย์ก็จะลดดอกเบี้ยตาม
ส่วนการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นของธนาคารพาณิชย์ เห็นด้วยกับรัฐบาลที่ธปท.จะไปหารือกับธนาคารพาณิชย์ในการที่ขอให้ผ่อนเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อได้
แนะเพิ่มเงื่อนไขเฟส3 ซื้อสินค้าไทย
ทั้งนี้ส.อ.ท.มองว่าในการกระตุ้นเศรษฐกิจและภาครัฐจะมีการออกมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท ในเฟส 3 ผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ตรัฐบาลควรกำหนดมาตรการเพิ่มเติมโดยดูจากช่องโหว่ของการออกมาตรการในเฟสที่ 1 และ2 ที่ผ่านมา ซึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มากเท่าที่ควร เพราะนำเงินไปซื้อสินค้าต่างประเทศหรือสินค้าที่ผลิตโดยใช้วัตถุดิบส่วนประกอบจากไทยน้อยกว่าต่างประเทศ
ดังนั้นหากจะนำเอาการกำหนดสัดส่วนที่เป็นวัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศ (local content)มาใช้ในมาตรการระยะที่ 3 ด้วย ก็จะช่วยผู้ประกอบการในประเทศได้มากขึ้น
“รัฐบาลควรเรียนรู้ข้อบกพร่องช่องโหว่จากการแจกเงินในเฟสที่ผ่านมา เพื่อมาวางแผนให้มีการกระตุ้น เศรษฐกิจอย่างตรงเป้ามากขึ้น” นายเกรียงไกร กล่าว
แนะเพิ่มจัดซื้อจัดจ้างเอสเอ็มอีไทย 50%
นอกจากนี้ ส.อ.ท.มีข้อเสนอด้วยว่าในการช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทย และเอสเอ็มอีควรมีการกำหนดสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้มีการซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะที่เป็นเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้น โดยกำหนดสัดส่วนจาก 15%ให้เพิ่มเป็น 50% ซึ่งจะทำให้งบประมาณที่ภาครัฐใช้ในการจัดซื้อจัดจ้างซื้อสินค้าจากเอสเอ็มอีไทยเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้จะช่วยให้มีเงินหมุนเวียนอยู่ในมือผู้ประกอบการ อุตสาหกรรมเอสเอ็มอีที่เป็นคนไทยเพิ่มขึ้นจาก 1.5 แสนล้านบาทต่อปี เป็น 5 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งในส่วนนี้จะได้ประโยชน์ทั้งในการช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทย และเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้มากขึ้น
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวที่ยังเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจได้ดีก็ควรวางโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อม และที่สำคัญต้องทำให้เกิดการกระจายตัว ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่แค่เมืองหลัก 5 จังหวัด เพื่อทำให้การท่องเที่ยวสร้างรายได้ที่กระจายไปทั่วประเทศ