พาณิชย์ เผย ส่งออกเดือนม.ค.ขยายตัว 13.6% ต่อเนื่อง 7 เดือนติด

พาณิชย์ เผย ส่งออกเดือนม.ค.ขยายตัว 13.6% ต่อเนื่อง 7 เดือนติด

พาณิชย์ เผย การส่งออกของไทยในเดือนม.ค. 2568 มีมูลค่า 25,277.0 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13.6% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจคู่ค้าที่เติบโต เงินเฟ้อปรับตัวลง

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)  เปิดเผยว่า  การส่งออกของไทยในเดือนม.ค. 2568 มีมูลค่า 25,277.0 ล้านดอลลาร์  ขยายตัว 13.6% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ทหากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่  11.4 % ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 27,157.2 ล้านดอลลาร์  ขยายตัว 7.9 %ดุลการค้า ขาดดุล 1,880.2 ล้านดอลลาร์

การส่งออกในเดือน ม.ค.68ได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวกลับสู่กรอบเป้าหมาย และการขยายตัวของกิจกรรมภาคการผลิต ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ถึง  3.3 %สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นทั้งในภาคการผลิตและผู้บริโภค นอกจากนี้ การส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯ และจีนขยายตัวในระดับสูง ส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าทุนและวัตถุดิบของไทย ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจสร้างแรงกดดันต่อการค้าโลก

 

นายพูนพงษ์ กล่าวว่า สำหรับการส่งออกเดือน ม.ค..ขยายตัว 13.6  %  มาจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัว 0.1  %  ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน โดยสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว  3.0  % ในขณะที่สินค้าเกษตร 2.2 % โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ยางพารา ขยายตัว 45.5 %  ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป ขยายตัว 12.3 % อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขยายตัว 11.8  %  อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัว  13.0 %  ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ ขยายตัว  19.5 %  ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ขยายตัว  13.4 %  

ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ข้าว หดตัว 32.4 %  ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง หดตัว 11.0 %  ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัว 7.9 %   เครื่องดื่ม หดตัว 16.0 %  ผักกระป๋อง และแปรรูป หดตัว 13.3 %  

ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว  17.0  %   โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัว 45.0 %   อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัว 148.8 %  ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัว 19.9 %  เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ขยายตัว  28.1 %  เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัว 33.2 %  

ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัว 16.5  %  เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ หดตัว 18.6  % เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัว 16.8 %  เครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว หดตัว18.3 % อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด หดตัว  38.2  %

 

สำหรับการส่งออกไปตลาดสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัว สอดคล้องกับสัญญาณการฟื้นตัวของภาคการผลิตโลก ประกอบกับตามความต้องการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้น ท่ามกลางความกังวลต่อความเสี่ยงของนโยบายกีดกันทางการค้า โดยตลาดหลัก ขยายตัว 11.2 %  ได้แก่ สหรัฐฯ  22.4 % จีน 13.2%  ญี่ปุ่น 1.9 % สหภาพยุโรป (27) 13.8 % อาเซียน (5)  4.8 % และ CLMV 5.2 %   ตลาดรอง ขยายตัว  10.3 % ได้แก่ ตลาดเอเชียใต้ 111.5%  แอฟริกา 13.9 % ลาตินอเมริกา 21.6%  และสหราชอาณาจักร 9.8% แต่หดตัวในตลาดทวีปออสเตรเลีย 26.9 % ตะวันออกกลาง 2.1 % และรัสเซียและกลุ่ม CIS 5.7%  และตลาดอื่น ๆ ขยายตัว 472.8 %

"การส่งออกของไทยในไตรมาส 1 จะยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง มีโอกาสจะเติบโตได้ 2 หลัก ซึ่งหากสามารถรักษามูลค่าการส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนไว้ที่ระดับ 25,000-26,000 ล้านดอลลาร์ ก็จะทำให้ภาพรวมการส่งออกไทยปีนี้ เติบโตได้ 2-3%

นายพูนพงษ์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการขยายตัวที่ 2-3 %โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ได้แก่ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะเติบโตตามการขยายตัวของภาคการผลิต สถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนและตะวันออกกลางที่เริ่มคลี่คลาย ดัชนีราคาอาหารโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นซึ่งสะท้อนความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโอกาสการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการทดแทนสินค้านำเข้าจากจีน

 อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยท้าทายที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ สถานการณ์การค้าโลกที่ยังคงตึงเครียด ความเสี่ยงของการเกิดวิกฤตเงินเฟ้อรอบใหม่ในสหรัฐฯ ผลกระทบจากมาตรการจำกัดการส่งออกน้ำมันของรัสเซียที่อาจส่งผลต่อราคาพลังงานและค่าระวางเรือ ตลอดจนผลกระทบจากมาตรการทางการค้าต่าง ๆ เช่น การปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และการทะลักเข้ามาของสินค้าจีน ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องรักษาสมดุลทางการค้า กระจายความเสี่ยงด้านตลาด และกำหนดมาตรการที่เหมาะสมเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดจากสถานการณ์ที่ท้าทาย