‘ทุนจีน’ สวมสิงคโปร์บุกไทย ยอดของ BOI พุ่ง 3.5 แสนล้าน

‘ทุนจีน’ สวมสิงคโปร์บุกไทย ยอดของ BOI พุ่ง 3.5 แสนล้าน

โมเดลใหม่ทุนจีนบุกไทย จดทะเบียนในสิงคโปร์ก่อนเข้ามาลงทุนในไทย หวังเลี่ยงถูกสหรัฐเก็บภาษีกีดกันการค้า พบยอดขอบีโอไอพุ่งขึ้นอันดับ 1 ปีที่แล้ว 3.5 แสนล้าน

KEY

POINTS

  • นโยบายทรัมป์ สร้างแรงสะเทือนต่อเศรษฐกิจ และการค้าทั่วโลก โดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้าประเทศที่ได้ดุลการค้าสูง โดยไทยอยู่อันดับที่ 11 ส่งออกไปสหรัฐ 5.4 ห

สัญญาณเตือนโมเดลใหม่ทุนจีนบุกไทย จดทะเบียนในสิงคโปร์ก่อนเข้ามาลงทุนในไทย หวังเลี่ยงถูกสหรัฐเก็บภาษีกีดกันการค้า พบยอดขอบีโอไอพุ่งขึ้นอันดับ 1 ปีที่แล้ว 3.5 แสนล้าน แห่ลงทุนดิจิทัล ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ท่องเที่ยว สศช.แนะวางกลไกให้บริษัทไทยถือหุ้นใหญ่ “หอการค้า” ห่วงจุดแข็งสิงคโปร์เสริมความชำนาญธุรกิจ

การเข้ารับตำแหน่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ในสมัยที่ 2 สร้างแรงสะเทือนต่อเศรษฐกิจ และการค้าทั่วโลก โดยได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีน ตามด้วยการประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก และอะลูมิเนียมอัตรา 25%

กลุ่มประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐถูกจับตาเป็นลำดับแรก โดยปี 2567 ไทยเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐเป็นอันดับที่ 11 ไทยส่งออกไปสหรัฐมูลค่า 54,956 ล้านดอลลาร์ นำเข้า 19,528 ล้านดอลลาร์ และได้ดุล 35,428 ล้านดอลลาร์ ได้ดุลการค้าต่อเนื่องมากกว่า 10 ปี

ขณะที่สหรัฐตรวจสอบประเทศคู่ค้าผ่านดุลการค้าแล้ว สหรัฐยังตรวจสอบอัตราภาษีนำเข้าที่แต่ละประเทศเก็บจากสินค้านำเข้าสหรัฐ ซึ่งทำให้โนมูระ โฮลดิ้ง ออกมาประเมินว่าในเอเชียมีอินเดีย และไทยที่มีความเสี่ยงถูกสหรัฐออกมาตรการตอบโต้สูง โดยไทย และอินเดียเก็บภาษีสหรัฐ 5-10% สูงกว่าค่าเฉลี่ย และทำให้ประเทศกลุ่มนี้จะเร่งเจรจาทางการค้ากับสหรัฐ

‘ทุนจีน’ สวมสิงคโปร์บุกไทย ยอดของ BOI พุ่ง 3.5 แสนล้าน

นอกจากนี้ สหรัฐมีการตรวจสอบบริษัทที่ส่งออกไปสหรัฐว่าเป็นการย้ายฐานการลงทุนจากจีนหรือไม่ โดยบริษัทในจีนมีแนวทางไปลงทุนต่างประเทศเพื่อเลี่ยงการถูกสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าอัตราสูงสำหรับสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดในจีน ดังนี้

1. บริษัทจีนเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตสินค้าในหลายประเทศอาเซียนรวมถึงไทย เพื่อเลี่ยงการถูกจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงซึ่งปัญหาดังกล่าวทำให้มีเสี่ยงเตือนจากภาคเอกชนไทยเพื่อให้ภาครัฐของไทยเตรียมรับมือประเด็นดังกล่าวด้วย เพื่อไม่ให้กระทบการส่งออกรวมของไทย

2.บริษัทจีนเข้าไปจดทะเบียนธุรกิจในสิงคโปร์เพื่อให้เป็นนิติบุคคลสัญชาติสิงคโปร์ และให้นิติบุคคลดังกล่าวไปลงทุนในประเทศไทยหรือประเทศที่ 3 เพื่อให้พ้นสภาพจากการเป็นบริษัทจีน

แนะ BOI วางกลไกให้ไทยถือหุ้นใหญ่

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ประเด็นบริษัทจีนจดทะเบียนในสิงคโปร์แล้วเข้ามาลงทุนในไทย โดยขอรับส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งเป็นบริษัทจีนที่ย้ายการผลิตออกจากจีนเพื่อป้องกันการถูกกีดกันทางการค้า และกำแพงภาษี จึงจดทะเบียนที่สิงคโปร์เพื่อเปลี่ยนสัญชาติก่อนเข้ามาลงทุนไทย

ทั้งนี้ หากสหรัฐตรวจสอบจริงจะรู้ได้ว่าเป็นบริษัทจากจีน ซึ่งมีโอกาสที่จะถูกมาตรการทางภาษีได้เช่นกัน และสหรัฐมีกลไกการตรวจสอบส่วนนี้แน่นอนว่าบริษัทต้นทางเป็นบริษัทจากประเทศใดจึงอาจทำให้ไทยโดนเพ่งเล็งการส่งออกสินค้ามากขึ้น

นอกจากนี้ ไทยควรดำเนินการเมื่อบริษัทต่างชาติเข้ามาขอ BOI ซึ่งควรมีกลไกให้บริษัทไทยถือหุ้นใหญ่ในบริษัทเหล่านั้น โดยให้เป็นพันธมิตรธุรกิจกับบริษัทไทย หรือจดเป็นบริษัทร่วมทุน เพื่อให้เป็นบริษัทสัญชาติไทยหรือบริษัทที่ไทยถือหุ้นใหญ่ โดยอาจให้สิทธิประโยชน์เพิ่มในส่วนที่เป็นบริษัทข้ามชาติที่มีเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ไทยต้องการ

รวมทั้งให้จดทะเบียนเป็นบริษัทไทยโดยไทยจะได้ประโยชน์การถ่ายทอดเทคโนโลยี และช่วยแก้ปัญหาถูกกีดกันทางการค้าจากสหรัฐ เพราะเท่ากับการมาลงทุนผลิตจริงในไทยไม่ได้เข้ามาเพื่อหลบเลี่ยงการถูกเก็บภาษีที่สหรัฐ

“เอกชน” ห่วงจุดแข็งสิงคโปร์

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คำขอรับส่งเสริมการลงทุนปี 2567 พบสิงคโปร์ขอรับส่งเสริมการลงทุนอันดับ 1 แต่หากมองรายละเอียดอาจมีบริษัทจีนที่จดทะเบียนในสิงคโปร์ก่อนมาลงทุนในไทย

สำหรับการแก้ปัญหาอาจต้องดูว่ารัฐบาลไทยจะหารือกับนักธุรกิจจีนอย่างไร เช่น การให้สิทธิประโยชน์ให้กับจีนโดยพิจารณาประเด็นที่จีนไปจดทะเบียนที่สิงคโปร์ก่อน และทำไมไม่มาจดทะเบียนที่ไทยโดยตรงรวมทั้งหารือว่าจีนติดประเด็นอะไร เช่นขั้นตอนการจดทะเบียนภาษีซึ่งบริษัทจีนเพิ่งออกไปลงทุนในต่างประเทศไม่นานอาจจะมีบางส่วนไม่มั่นใจจึงเลือกไปจดทะเบียนในสิงคโปร์

“ในเชิงธุรกิจไม่ถือว่าผิดปกติอะไร น่าจะเป็นเรื่องของความไม่สบายใจหรือเรื่องของความเชื่อมั่นมากกว่าเพราะสิงคโปร์เก่งเรื่องการลงทุนต่างประเทศ ทั้งเรื่องของกฎระเบียบรวมถึงประสบการณ์” นายวิศิษฐ์ กล่าว

‘สิงคโปร์’ ลงทุนไทยโตก้าวกระโดด

รายงานข่าวระบุว่า การลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ของสิงคโปร์ที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในรอบ 5 ปี เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปี 2567 มูลค่า 357,540 ล้านบาท , ปี 2566 มูลค่า 159,387 ล้านบาท , ปี 2565 มูลค่า 44,286 ล้านบาท , ปี 2564 มูลค่า 29,669 ล้านบาท และปี 2563 มูลค่า 16,365 ล้านบาท

สำหรับปี 2567 FDI รวมผ่านการยื่นคำขอรับส่งเสริมการลงทุนมี 2,050 โครงการ เพิ่มขึ้น 51% เงินลงทุน 832,114 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% โดยประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

1.สิงคโปร์ 357,540 ล้านบาท 305 โครงการ 2.จีน 174,638 ล้านบาท 810 โครงการ 3.ฮ่องกง 82,266 ล้านบาท 177 โครงการ 4.ไต้หวัน 49,967 ล้านบาท 126 โครงการ และ 5.ญี่ปุ่น 49,148 ล้านบาท 271 โครงการ

สำหรับสหรัฐมีเงินลงทุนในปีที่แล้ว 25,739 ล้านบาท 66 โครงการ แต่หากนับรวมตัวเลขที่ลงทุนผ่านสิงคโปร์แล้ว จะมีมูลค่ารวมกว่า 70,000 ล้านบาท เพราะการลงทุนของสิงคโปร์ที่สูงขึ้นมากเกิดจากการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทที่มีบริษัทแม่เป็นสัญชาติจีนและสหรัฐ

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณารายละเอียดการลงทุนจากสิงคโปร์ 5 อันดับแรกพบว่า พบว่า 1.อุตสาหกรรมดิจิทัล 21 โครงการ มูลค่า 194,733 ล้านบาท 2.อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 53 โครงการ มูลค่า 89,630 ล้านบาท 

3.อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน 37 โครงการ มูลค่า 28,333 ล้านบาท 4.อุตสาหกรรมท่องเที่ยว 3 โครงการ มูลค่า 4,489 ล้านบาท 5.อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 19 โครงการ มูลค่า 3,511 ล้านบาท

หวั่นคอมพิวเตอร์ถูกสหรัฐจับตาดุลการค้า

ขณะที่โครงสร้างสินค้าส่งออกไทยไปสหรัฐ 5 อันดับแรกในปี 2567 เป็นกลุ่มค้าที่มีโอกาสสูงที่จะถูกสหรัฐตรวจสอบทั้งดุลการค้า อัตราภาษีและการย้ายฐานการผลิตเพื่อเลี่ยงการถูกจัดเก็บภาษี โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ดังนี้ 

1.เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ 10,567 ล้านดอลลาร์

2.เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 4,657 ล้านดอลลาร์

3.ผลิตภัณฑ์ยาง 4,503 ล้านดอลลาร์

4.อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด 2,483 ล้านดอลลาร์ 

5.หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ 2,095 ล้านดอลลาร์

ต่างด้าวลงทุนบางกิจการต้องขออนุญาต

สำหรับการเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมภาคการผลิตส่วนใหญ่ไม่ติดปัญหาข้อกำหนดการประกอบกิจการธุรกิจของคนต่างด้าว โดยมีบางกิจการที่อยู่ในบัญชีแนบท้าย 3 ตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจนำเที่ยว ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่อาจมีนักธุรกิจจีนเข้ามาลงทุน และต้องปฏิบัติตามกฎหมาย

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวตามบัญชีแนบท้าย 3 ต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยบัญชีแนบท้าย 3 เป็นธุรกิจที่คนไทยยังไม่พร้อมที่จะแข่งขัน

นอกจากนี้ นักธุรกิจต่างชาติที่ต้องทำธุรกิจตามบัญชีแนบท้าย 2-3 ที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ใช้ช่องทางขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวได้ แต่บางธุรกิจที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทย คณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว อาจจะพิจารณาอนุญาตให้ประกอบธุรกิจโดยจำกัดขอบเขตการให้บริการ เช่น การให้บริการเฉพาะกับคู่สัญญาหรือบริษัทในกลุ่มในเครือ

ขณะที่การตรวจสอบการถือหุ้นแทน (นอมินี) ในปี 2567 ได้ตรวจสอบกลุ่มเป้าหมาย 4 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม รีสอร์ต และธุรกิจเกี่ยวกับขนส่ง (โลจิสติกส์) ใน 6 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต กรุงเทพฯ ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และสุราษฎร์ธานี รวมนิติบุคคล 26,014 รายพบผู้อาจทำผิดกฎหมาย 64 ราย

สำหรับบริษัทที่สงสัยจะมีหนังสือแจ้งให้ชี้แจงข้อเท็จจริง และลงพื้นที่ตรวจสอบการร่วมลงทุนของคนไทย และคนต่างด้าว ที่มาแหล่งเงินทุน การถือครองหุ้นแต่ละช่วงเวลา และหากเข้าข่ายความผิดจะส่งข้อมูลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสืบสวนสอบสวนเชิงลึก เช่น ตรวจสอบความสัมพันธ์ของคนไทยกับชาวต่างชาติ ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ตรวจสอบการจ่ายชำระภาษี

 

 


พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์