กองทุน Thai ESGX เติมเม็ดเงิน 1.65 แสนล้าน รัฐสูญรายได้ 5 หมื่นล้าน

"คลัง" คาด Thai ESGX โยกกองทุน LTF และสร้างเม็ดเงินใหม่เข้าตลาดทุนรวมกว่า 1.65 แสนล้าน รัฐสูญรายได้ภาษี 5 หมื่นล้าน ระบุกองทุนจะเน้นลงทุนหุ้นไทยไม่ต่ำกว่า 65% เปิดขาย 1 พ.ค.-30 มิ.ย. 68
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (11 มี.ค.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ หลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) จัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESG Extra) หรือ Thai ESGX ซึ่งเป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) และบริหารเม็ดเงินลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ครบกำหนด มูลค่ากว่า 1.8 แสนล้านบาท รวมทั้งเพิ่มเสถียรภาพตลาดทุนไทย
โดยให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยื่นขออนุมัติจัดตั้งกองทุน Thai ESGX ขึ้นมาใหม่ ที่มีนโยบายการลงทุนในทรัพย์สินที่ออกโดยผู้ออกหรือกิจการในประเทศไทยที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืน โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) และจะต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืนเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนในกองทุน LTF สามารถสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนทั้งหมดที่ถืออยู่ในทุก บลจ. ณ วันที่ 11 มี.ค. 2568 เป็นหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยเงินที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX สามารถนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ไม่เกิน 500,000 บาท
โดยปีภาษี 2568 ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท และปีภาษี 2569 – 2572 ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเฉพาะส่วนที่เกิน 300,000 บาท แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคลลธรรมดา ไม่เกินปีละ 50,000 บาท
ทั้งนี้ ผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุน LTF จะต้องแสดงความประสงค์สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนทั้งหมดในกองทุน LTF เป็นหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่กองทุน Thai ESGX เปิดให้สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนครั้งแรก แต่ไม่เกินวันที่ 30 มิ.ย.2568 และจะต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX ไม่น้อยกว่า 5 ปีนับตั้งแต่วันที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน
ขณะเดียวกัน นักลงทุนรายใหม่ที่ต้องการซื้อกองทุน Thai ESGX สามารถนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท โดยจะต้องซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX ภายในระยะเวลา 2 เดือน ตั้งวันที่ 1 พ.ค. – 30 มิ.ย.2568
"เบื้องต้นคาดว่าการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับผู้ลงทุนใน Thai ESGX จะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ภาษีราว 50,000 ล้านบาทตลอดโครงการ ขณะที่ช่วยรักษาเม็ดเงินจากกองทุน LTF ราว 1.35 แสนล้านบาท และมีการลงทุนใหม่ราว 30,000 ล้านบาท เทียบเท่ากับเม็ดเงินที่ลงทุนในกองทุน Thai ESG ปีที่ผ่านมา"
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ปัจจุบันแรงขายหน่วยลงทุน LTF มีแนวโน้มชะลอตัวลง หลังจากที่มีข่าวการจัดตั้งกองทุนใหม่ ซึ่งเชื่อว่ากองทุน Thai ESGX จะเป็นปัจจัยบวกให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน LTF ให้มีทางเลือกมากขึ้นในการบริหารเงินลงทุน อีกทั้งมาตรการดังกล่าวยังส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนมีการเปิดเผยข้อมูลเรื่องคาร์บอนฟุตปรินท์และได้รับการประเมินเป็นหุ้นยั่งยืนเพิ่มขึ้น 400 บริษัท
นายอัสสเดช คงสิริ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะจากปัจจัยภายนอก จากสงครามการค้า แรงกดดันภูมิรัฐศาสตร์ เช่นเดียวกับดัชนีหุ้นสหรัฐ และทั้งภูมิภาคเอเชีย ที่ได้รับผลกระทบที่ดัชนีลดลง โดยตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาราว 14% หรือมูลค่าหายไปกว่า 2 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ เชื่อว่ากลไกของกองทุน Thai ESG รวมทั้งโครงการ Jump+ ที่จะช่วยสนับสนุนการเพิ่มมูลค่าของบริษัทจดทะเบียนในตลาดให้เติบโตอย่างยั่งยืน จะมีส่วนช่วยให้ตลาดหุ้นไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น