ปม ‘อุยกูร์’ จุดชนวน ‘สิทธิมนุษยชน’ จับตากระทบเจรจาFTA ‘ไทย-อียู’

นักวิชาการอิสระ แนะรัฐเร่งแจงปมอุยกูร์ หวั่นกระทบเจรจา FTA ไทย - อียู ล่าช้า อาจลามทำให้สหรัฐใช้เป็นข้ออ้างขึ้นภาษีสินค้าไทย ด้านพาณิชย์ ยันไม่กระทบเดินหน้าเจรจาต่อ
รัฐสภายุโรปมีมติด้วยคะแนนเสียง 482 ต่อ 57 และงดออกเสียง 68 เสียง เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2568 ประณามไทยจากกรณีการส่งชาวอุยกูร์ 40 คน กลับจีนเมื่อปลายเดือน ก.พ.2568 และสมาชิกสภาเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการยุโรปต่อรองผ่านความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) เพื่อกดดันให้ไทยปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแรงงาน การลี้ภัย สิทธิมนุษยชน และยับยั้งการเนรเทศชาวอุยกูร์
ในขณะที่การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีไทย-อียู ดำเนินไปแล้ว 4 รอบ โดยสรุปผลการเจรจาได้ 2 บท และเริ่มหารือการเปิดตลาดสินค้า และบริการแล้ว สำหรับการเจรจารอบที่ 5 ฝ่ายอียูจะเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ 31 มี.ค. - 4 เม.ย.2568 โดยไทยกับอียูมีเป้าหมายบรรลุผลการเจรจาข้อตกลงภายในวันที่ 25 ธ.ค.2568
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และที่ปรึกษา บริษัทอินเทลลิเจนท์ รีเสิร์ช คอนซัลแตนท์ (ไออาร์ซี) จำกัด ประเมินท่าทีรัฐสภายุโรปต่อการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับไทยว่า อาจกระทบการเจรจาข้อตกลงไทย-อียู ล่าช้าออกไป เพราะอียูมีจุดยืนสิทธิมนุษยชน แรงงาน สิ่งแวดล้อม ซึ่งไทยต้องเร่งชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงให้อียูทราบ เพื่อให้ชัดเจนว่าไทยไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน
ทั้งนี้ ข้อมูลที่มีการเผยแพร่จากทางการไทยรวมถึงนักสิทธิมนุษยชนในไทย นักวิชาการและนักการเมืองยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะกรณีที่มีประเทศที่ 3 พร้อมรับผู้อพยพอุยกูร์
ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องทำคือ การชี้แจงพร้อมนำเอกสารหลักฐานที่แท้จริงไปแสดงให้อียูทราบ โดยหากเทียบกับเวียดนามที่ลงนามข้อตกลงการค้าเสรีอียู - เวียดนาม พบว่าเวียดนามไม่มีประเด็นสิทธิมนุษยชน และแรงงาน ซึ่งส่งผลให้เวียดนามบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีกับอียูได้ก่อนไทยไปแล้ว 4-5 ปี
ส่วนผลกระทบต่อการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู ให้ล่าช้าไปกรอบเวลาที่กำหนดมากน้อยแค่ไหนขึ้นกับไทยชี้แจงเรื่องดังกล่าวได้เป็นที่พอใจต่อรัฐสภาอียูเพียงใด รวมทั้งมีหลักฐานยืนยันแน่นอนว่าไทยไม่ได้ละเมิดสิทธิมนุษยชน
ขณะที่การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีรอบที่ 5 ระหว่างวันที่ 31 มี.ค.- 4 เม.ย.2568 คาดว่า ในเวทีการพูดคุยน่าจะมีประเด็นนี้เข้าไปพูดคุยในวงเจรจามากขึ้น ทั้งนี้เห็นว่าทางกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศ ต้องแสดงจุดยืนในเรื่องนี้ด้วยอย่าอยู่นิ่งๆ โดยยืนยันหลักฐานเอกสารที่ชัดเจน และหากไทยไม่ทำความกระจ่างเรื่องนี้คาดว่าการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีจะยากขึ้น
สำหรับการส่งชาวอุยกูร์กลับจีนไม่ใช่ประเด็นเฉพาะไทยกับอียู แต่เป็นประเด็นของสหรัฐด้วย โดยรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐก็จับตาประเด็นนี้ด้วย โดยเมื่อวันที่ 14 มี.ค.2568 ประกาศนโยบายข้อจำกัดเกี่ยวกับวีซ่า (จำกัดวีซ่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย) เพื่อตอบโต้กรณีผลักดันชาวอุยกูร์ และชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์หรือศาสนากลุ่มอื่นที่อาจไม่ได้รับความคุ้มครองกลับจีน
ดังนั้น จึงมีโอกาสที่สหรัฐโดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐจะใช้โอกาสนี้ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทย โดยอ้างประเด็นสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นเรื่องที่สหรัฐให้ความสำคัญมาก
ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศมีมุมมองที่แตกต่างจากกระทรวงพาณิชย์ที่มองในมุมบวกเกี่ยวกับผลกระทบกรณีสมาชิกรัฐสภายุโรปกดดันไทยผ่านการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะจากการประชุมทางไกลกับนายมารอส เซฟโควิช กรรมาธิการยุโรปด้านการค้าความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร และความโปร่งใส เพื่อผลักดันการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างกัน เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2568 ทั้ง 2 ฝ่าย แสดงจุดยืนร่วมกันที่จะเร่งการเจรจาให้จบโดยเร็ว
“การบรรลุข้อตกลงจะขยายโอกาสทางการค้า การลงทุน รวมถึงลดอุปสรรค และอำนวยความสะดวกทางการค้า เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการของ 2 ฝ่ายให้มากขึ้น”
สำหรับบรรยากาศการพูดคุยเป็นไปได้ ด้วยดี ทั้ง 2 ฝ่ายแสดงจุดยืนร่วมกันที่จะเร่งรัดการเจรจาให้เสร็จโดยเร็ว ซึ่งได้แจ้งไปว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องการให้จบภายในปี 2568
รวมทั้งไม่ได้พูดถึงประเด็นการส่งกลับอุยกูร์หรือนำประเด็นการเมืองหรือปัญหาอื่นมากดดันไทย และไม่น่าจะทำให้การเจรจาหยุดชะงัก หรือยกเลิกการเจรจา ซึ่งฝ่ายอียูระบุว่าการเจรจาจะให้จบภายในวันที่ 25 ธ.ค.2568
ทั้งนี้ ผลการเจรจาจะออกมาอย่างไรอยู่ที่การต่อรอง โดยหากอียูเสนอประเด็นที่ไทยทำไม่ได้ก็จะไม่รับ โดยคณะเจรจาฝ่ายไทยย่อมเจรจาด้วยการคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ
นอกจากนี้ ข้อตกลงการค้าเสรนีเป็นสิ่งสำคัญท่ามกลางปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่แน่นอน ของเศรษฐกิจโลก โดยไทย และอียู มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจต่างกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อข้อกำหนดในข้อตกลง แต่ความยืดหยุ่นและความช่วยเหลือทางวิชาการจากอียูจะช่วยให้การเจรจาประสบความสำเร็จเร็วขึ้น
“การเร่งสรุปข้อตกลงการค้าเสรีไม่ใช่แค่การเพิ่มมูลค่าการค้า แต่เป็นก้าวสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทย โดยไทยจะใช้ประโยชน์จากข้อตกลงนี้ขยายตลาด ลดต้นทุน เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการ และดึงนักลงทุนยุโรปมากขึ้น โดยข้อตกลงฉบับนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และช่วยให้ไทยปรับตัวได้ดีขึ้นต่อการแข่งขันในเวทีโลก” นายพิชัย กล่าว
นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในชั้นนี้ ยังเดินหน้าเจรจาต่อไปใน รอบที่ 5 ฝ่าย EU เป็นเจ้าภาพวันที่ 31 มี.ค.-4 เม.ย.2568 จะได้หารือแลกเปลี่ยนความเห็นกับฝ่ายอียูเกี่ยวกับมตินี้ด้วย ซึ่งการที่รัฐสภายุโรปมีมติแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่ทางฝ่ายนั้นจะต้องทำตามขั้นตอนของสภายุโรป
ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าจะมีปัญหาหรือทำให้การเจรจาล่าช้าออกไป โดยประเมินว่าการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีไทย-อียู ไม่น่าจะชะลออกไป และจะมีการเจรจาไปต่อเนื่อง เพราะประเด็นที่รัฐสภายุโรปมีมติออกมาน่าจะเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมือง ความมั่นคง มากกว่าด้านเศรษฐกิจ
“กระทรวงพาณิชย์ยังคงตั้งเป้าเจรจาให้เสร็จโดยเร็ว สำหรับประเด็นต่างๆ กระทรวงพาณิชย์ จะประสานใกล้ชิดกับกระทรวงการต่างประเทศ ขณะนี้คงต้องติดตามความเคลื่อนไหวต่อไป” นางสาวโชติมา กล่าว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์