เปิด 3 โมเดลซื้อ ‘NPL ประชาชน’ ประสบการณ์ทั่วโลกแก้วิกฤตหนี้

เจาะ 3 โมเดลซื้อหนี้ NPL จากประชาชน: บทเรียนจากทั่วโลก แก้วิกฤตหนี้ครัวเรือน" แนวคิดซื้อหนี้เสียคืนจากประชาชน พาสำรวจ 3 โมเดลแก้หนี้จากประสบการณ์นานาชาติ
KEY
POINTS
- เจาะ 3 โมเดลซื้อหนี้ NPL จากประชาชน: บทเรียนจากทั่วโลก แก้วิกฤตหนี้ครัวเรือน
- สำรวจ 3 โมเดลแก้หนี้จากประสบการณ์นานาชาติ
- พบมีหลายรูปแบบตั้งแต่การซื้อหนี้โดยตรงโดยรัฐ การใช้เครื่องมื
การซื้อหนี้เสีย (NPL) คืนจากประชาชนเป็นแนวคิดที่อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ได้บอกว่าได้ปรึกษาดังๆกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าจะแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนโดยเฉพาะส่วนที่เป็นNPLโดยซื้อหนี้ออกมาจากสถาบันการเงินเพื่อให้ประชาชนได้มีความคล่องตัวในการใช้ชีวิตและทำมาหากินมากยิ่งขึ้น
แนวทางการแก้ปัญหาหนี้โดยใช้แนวทางนี้ถือเป็นนโยบายที่มีหลายประเทศนำมาใช้เพื่อแก้ไขวิกฤติทางการเงินและช่วยเหลือประชาชน โดยมีรูปแบบที่หลากหลายขึ้นอยู่กับบริบททางเศรษฐกิจและเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ
“กรุงเทพธุรกิจ” พาสำรวจโมเดลซื้อหนี้ NPL ในรูปแบบต่างๆ 3 รูปแบบพร้อมวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียของแต่ละรูปแบบดังนี้
1. โมเดลซื้อหนี้ NPL โดยตรงจากรัฐบาล
ในรูปแบบนี้ รัฐบาลจะใช้งบประมาณเพื่อซื้อหนี้เสียจากประชาชนหรือสถาบันการเงินโดยตรง โดยมีทั้งใช้งบประมาณทั้งหมดหรืองบประมาณบางส่วนเข้าไปซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงินในราคาตลาดที่ต่ำกว่ามูลค่าจริงมาก แล้วนำมาบริหารจัดการ โดยมีรูปแบบดังนี้
1) การซื้อหนี้เสียโดยตรงจากธนาคาร (Direct Government Purchase of Bad Debt)
ตัวอย่าง เช่น สหรัฐอเมริกา เคยมีการออกมาตรการ Troubled Asset Relief Program (TARP) ในปี 2008 โดยใช้งบประมาณรัฐ 700,000 ล้านดอลลาร์ ซื้อหนี้เสียจากธนาคาร และบริษัทประกันภัยเพื่อช่วยพยุงระบบการเงินและป้องกันการล้มละลายของสถาบันการเงินหลัก
โดยข้อดีของการใช้มาตรการนี้ ถือเป็นการรักษาเสถียรภาพของระบบธนาคาร ช่วยป้องกันวิกฤติลุกลามไปสู่เศรษฐกิจโดยรวม สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวเร็ว
ส่วนข้อเสียคือเป็นมาตรการใช้งบประมาณจำนวนมาก ทำให้รัฐมีภาระหนี้สูงอาจถูกวิจารณ์ว่าเป็นการช่วยธนาคารมากกว่าประชาชน
2) การตั้งหน่วยงานบริหารสินทรัพย์ (AMC - Asset Management Company) ของภาครัฐ
โดยตัวอย่างคือการแก้หนี้เสียของไทยที่ได้เคยมีการตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (TAMC) เพื่อซื้อหนี้เสียจากธนาคารหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง โดยTAMC เจรจากับลูกหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ให้ประชาชน
การตั้ง AMC นั้นเป็นรูปแบบที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลังได้พูดถึงว่าการซื้อหนี้มาบริหารอาจใช้รูปแบบนี้ โดยข้อดีคือช่วยให้ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้เร็วขึ้น ลดภาระหนี้ให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ ส่วนข้อเสียคือมีข้อจำกัดในการรับซื้อหนี้เสีย ต้องเป็นหนี้ที่เข้าเกณฑ์ที่กำหนด และอาจเกิดปัญหาด้านธรรมาภิบาล ถ้าไม่มีการตรวจสอบที่ดี
2. รูปแบบรัฐบาลช่วยสนับสนุนใช้กลไกทางการเงินเพื่อระดมทุนมาใช้ในการซื้อ NPL
1) การออกพันธบัตรเพื่อระดมทุน (Debt Securitization / Bond Issuance)
ตัวอย่างมาตรการ Financial Sector Restructuring Fund – เกาหลีใต้ (1997) โดยหลังวิกฤติปี 1997 เกาหลีใต้ออกพันธบัตรระดมทุน 65,000 ล้านดอลลาร์ แลพใช้เงินนี้ซื้อหนี้เสียจากธนาคาร แล้วนำไปปรับโครงสร้างให้ประชาชน
โดยข้อดี คือไม่กระทบงบประมาณโดยตรง รัฐบาลไม่ต้องใช้ภาษีประชาชนทันที และช่วยลดหนี้เสียในระบบธนาคารได้เร็ว
ส่วนข้อเสียคือการระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรมีภาระดอกเบี้ย ซึ่งต้องมีการชำระคืนในอนาคต หากบริหารผิดพลาด อาจทำให้รัฐบาลเป็นหนี้เพิ่มขึ้นได้
2) รูปแบบการตั้งกองทุนร่วมลงทุน (Public-Private Partnership) หรือ “PPP Fund”
โดยมีตัวอย่างเช่น มาตรการ Public-Private Investment Program (PPIP) โดยใช้เงินรัฐร่วมกับเอกชนเพื่อซื้อหนี้เสีย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนภาคเอกชนร่วมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
โดยโมเดลนี้มีข้อดีคือลดภาระงบประมาณรัฐ เพราะเอกชนร่วมลงทุนทำให้เกิดตลาดซื้อหนี้เสียที่มีสภาพคล่องข้อเสีย คือ เอกชนอาจเน้นทำกำไร มากกว่าช่วยเหลือลูกหนี้จริงๆ หากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น อาจไม่มีคนลงทุนในกองทุน
3.การแยกหนี้เสียออกเป็นบริษัทใหม่ (Bad Bank Model) เพื่อบริหารหนี้โดยเฉพาะ
โดยแนวทางนี้จะมีการบริหารหนี้ที่เป็น Bad Bank หรือเป็นสถาบันการเงินที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อรับโอนหนี้เสีย (NPL) และสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากธนาคารพาณิชย์ เพื่อช่วยลดภาระของธนาคารและทำให้ระบบการเงินมีเสถียรภาพมากขึ้น
โดยหลักการทำงานของ Bad Bank โอนหนี้เสียออกจากธนาคารปกติ ออกมาเป็น Bad Bank ซื้อหนี้เสียจากธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้ธนาคารสามารถโฟกัสกับธุรกิจหลักและการปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยการบริหารหนี้เสีย ของ Bad Bank มีหน้าที่ติดตามหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ หรือขายทรัพย์สินรอการขาย (NPA - Non-Performing Asset)และ ขายหนี้ให้กับนักลงทุน โดยบางครั้ง Bad Bank อาจขายพอร์ตหนี้ให้กับนักลงทุนที่เชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์เสี่ยง
โดยตัวอย่างของประเทศที่มีการใช้โมเดลนี้ในต่างประเทศ เช่น เยอรมันสนับสนุนให้ธนาคารแยกหนี้เสียออกเป็นบริษัทใหม่ที่เรียกว่า Bad Bank เพื่อให้ธนาคารสามารถโฟกัสธุรกิจปกติ และให้ Bad Bank ไปจัดการหนี้แทน
โดยข้อดีของรูปแบบนี้คือธนาคารสามารถกลับมาปล่อยสินเชื่อใหม่ได้เร็ว โดยในส่วนของ Bad Bank จะมีเวลาจัดการหนี้ระยะยาว โดยไม่กระทบระบบธนาคารหลัก ส่วนข้อเสีย คือ นักลงทุนอาจไม่เชื่อมั่นใน Bad Bank ถ้าหนี้เสียมีมากเกินไป หากบริหารผิดพลาด รัฐบาลอาจต้องเข้าไปช่วยแก้ไขหนี้อีกครั้ง
จะเห็นได้ว่าการซื้อหนี้เสียคืนจากประชาชนมีหลายโมเดล โดยมีตัวอย่างจากหลายประเทศที่เคยดำเนินนโยบายนี้ ซึ่งแต่ละโมเดลมี ข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ รูปแบบงบประมาณ และ กลไกที่ใช้ซึ่งฝ่ายนโยบายจะต้องดูว่าจะใช้รูปแบบใดที่เหมาะสมกับประเทศไทย