ตลาดอีวีโลกปี68โตเด่น24%ปัจจัยเทคโนโลยี-ราคา-ผู้บริโภคยอมรับ

ยานยนต์ไฟฟ้า หรือ อีวี ยังคงเป็นปลายทางของการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมรถยนต์อยู่หรือไม่ หลังเทรนด์โลกภายใต้ผู้นำใหม่ของสหรัฐ
ข้อมูลจาก เวบไซด์ The Business Research Company เล่าถึง ขนาด ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ปี 2568 และอัตราการเติบโตไว้ว่า ด้านขนาดตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตแบบทวีคูณในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยังคงเติบโตได้ต่อไป โดยขนาดตลาดมูลค่า 376.97 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 470.28 พันล้านดอลลาร์ในปี 2568 ด้วยอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 24.8%
“การเติบโตในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์การเปลี่ยนผ่านนี้มีปัจจัยจากการรับรู้และการยอมรับของผู้บริโภค ความสามารถในการแข่งขันในตลาดและการลดต้นทุน การเจาะตลาดทั่วโลก การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และการลดการปล่อยมลพิษ”
ข้อมูลยังระบุอีกว่า การคาดการณ์การเติบโตของ ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ยังจะเติบโตแบบทวีคูณในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยจะเติบโตเป็น 1,089.48 พันล้านดอลลาร์ในปี 2572 ด้วยอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 23.4% เป็นผลจากกฎระเบียบและแรงจูงใจของรัฐบาล ,การขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จ ,ความมุ่งมั่นและการผลิตของผู้ผลิตรถยนต์, ความสามารถในการแข่งขันในตลาด ,การเปลี่ยนแปลงไปสู่การขับเคลื่อนที่ยั่งยืน
“แรงขับเคลื่อนที่สำคัญคือ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแบตเตอรี่ การขยายโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ แรงจูงใจและนโยบายของรัฐบาล การเพิ่มขึ้นของรุ่นรถยนต์ไฟฟ้า การลดต้นทุนและความสามารถในการซื้อของผู้บริโภคนั่นเอง ซึ่งแรงกระตุ้นที่สำคัญที่สุดคือ ต้นทุนที่ลดลงของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าขับซึ่งคาดว่าต้นทุนที่ลดลงจะผลักดันการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไปข้างหน้า
สำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาลดลง มีประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในหลายๆ ด้าน เพราะเมื่อต้นทุนของแบตเตอรี่ลดลง ก็จะทำให้รถยนต์ไฟฟ้าถูกลงนำไปสู่การยอมรับของผู้บริโภคอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น
หากจะติดตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีแบตเตอรี ก็สามารถยกตัวอย่างได้จาก ปี 2565 ตามข้อมูลของหน่วยงานด้านพลังงานระหว่างประเทศ ระบุว่า ความสามารถแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Li-ion) สำหรับยานยนต์เพิ่มขึ้นประมาณ 65% เป็น 550 GWh ในปี 2565 จากประมาณ 330 GWh ในปี 2564
ด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคล มีการจดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้น 55% ในปี 2565 เมื่อเทียบกับปี 2564 แม้ว่าอุปทานนิกเกิลและโคบอลต์จะเกินความต้องการในปี 2565
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโลกยังต้องขึ้นกับขีดความสามารถด้านการชาร์จไฟ โดยพบว่า บริษัทใหญ่ๆ ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโซลูชันทางเทคโนโลยีใหม่ ตัวอย่างเช่น ในเดือนก.พ. 2565 Quantum Scape ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานหมุนเวียนที่ตั้งอยู่ในสหรัฐ กำลังพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่แบบโซลิดสเตตเพื่อขยายระยะทางของรถยนต์ไฟฟ้าและทำให้สามารถชาร์จได้เร็วขึ้น Quantum Scape ได้ทำการทดสอบ และผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าแบตเตอรี่แบบโซลิดสเตตสามารถชาร์จเร็วได้ 400 รอบติดต่อกัน 15 นาที (4C) จากความจุ 10% ถึง 80%
ข้อมูลยังระบุถึงประเทศไทยที่เป็นหนึ่งในผู้เล่นในตลาดอีวีของโลก ทั้งในฐานะผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ส่งออก แต่ก็ยังมีอีกหลายประเทศต้องการเข้ามามีบทบาทนำในพื้นที่ส่วนนี้ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเวียดนาม โดยแต่ละประเทศกำหนดบทบาทที่ต่างกันออกไป
เมื่อเร็วๆนี้ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับสุโรจน์ แสงสนิท นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย พร้อมคณะ เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์พลังใหม่ให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ในการหารือครั้งนี้มุ่งเน้นการผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากขึ้น เพื่อนำร่องการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการพัฒนาอะไหล่และเครื่องชาร์จไฟฟ้าที่ผลิตโดยผู้ประกอบการไทย เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่ภาคอุตสาหกรรมในประเทศ ลดการพึ่งพาการนำเข้า และสร้างความมั่นคงให้กับห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ รวมถึงมาตรการทางภาษี ที่จะช่วยให้การผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แบบต่าง ๆ (XEV)ในประเทศไทยให้สามารถแข่งขันกับรถยนต์ไฟฟ้านำเข้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งเป้าหมายในการสร้างสมดุลในภาพรวมของอุตสาหกรรมยานนต์เดิมเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ โดยมีฐานการผลิตรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานผสม หรือไฮบริด (HEV) รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานผสมแบบเสียบปลั๊ก หรือปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ (BEV) เพื่อให้เกิดระบบนิเวศอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สามารถสร้างคุณค่า (value) กลับสู่แรงงานไทย โรงงานไทย และผู้ใช้รถยนต์ในประเทศไทย