ข้อมูลต่อเงิน (ตอนที่ 2) เรื่อง " ข้อมูลไม่ไป...เงินจะมาฤา"

ข้อมูลต่อเงิน ตอนที่ 2 : ในยามนี้ประชาชนชาวไทยกำลังประสบกับปัญหาหนี้สินอย่างมาก ยอดหนี้ครัวเรือนในระบบมีมูลค่าสูงเป็นเลขสองหลักของล้านล้านบาท
ขณะที่ภาครัฐก็พิจารณออกมาตรการต่างๆ มาเพื่อช่วยเหลือต่อลมหายใจ ไม่ให้คนเหล่านี้จมน้ำจมหนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการแก้ไขปัญหาหนี้ เช่น โครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ หรือ การสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสและความแข็งแกร่งที่จะว่ายน้ำให้ถึงฝั่ง
ผู้เขียนได้ติดตามข่าวสารต่างๆ ในช่วงนี้ จะขอชวนประมวลผลข้อมูลจากบางข่าว อาทิ ข่าวโครงการพิเศษในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินของรัฐแห่งหนึ่ง ซึ่งระบุว่าจะมุ่งเน้นผู้ที่มีรายได้ที่ไม่เคยมีประวัติเครดิตทางการเงินหรือไม่เคยใช้บริการสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หรือข่าวที่ผู้บริหารสถาบันการเงินเอกชนแห่งหนึ่งระบุว่า พร้อมให้ความร่วมมือในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติม มุ่งเน้นไปยังกลุ่มลูกค้าที่รู้จักหรือเคยทำธุรกรรมผ่านสถาบันการเงินแห่งนี้อยู่บ้างแล้ว
ประเด็นที่ชัดเจนจากข่าวคือความสำคัญของ ‘ข้อมูล’ ซึ่งในบทความตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้กล่าวถึงความสำคัญของข้อมูลต่อการตัดสินใจปล่อยสินเชื่อ โครงการของสถาบันการเงินของรัฐตามข่าวข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะให้โอกาสกับกลุ่มคนที่ไม่มี ‘ข้อมูลด้านเครดิต’ ที่เพียงพอ โดยทำให้คนกลุ่มนี้ได้เข้าสู่ระบบสถาบันการเงินและกลายเป็นผู้ที่มี ‘ข้อมูล’ ให้ระบบสถาบันการเงินสามารถ
ตัดสินใจปล่อยสินเชื่อได้ต่อไป และในทำนองเดียวกัน ข่าวของสถาบันการเงินเอกชน ใช้คำว่า ‘ลูกค้าที่รู้จัก’ ซึ่งก็หมายถึงลูกค้าที่สถาบันการเงินแห่งนั้นมีข้อมูลอยู่ระดับหนึ่งแล้ว
สำหรับเกณฑ์ในการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงิน ซึ่งก็หมายถึงโอกาสที่จะได้รับอนุมัติสินเชื่อนั้น เรามักจะได้ยินเกี่ยวกับเกณฑ์ 5C ซึ่งจะขอกล่าวถึงเพียง 3C หลักๆ ได้แก่ 1) Character ซึ่งส่วนที่สำคัญคือประวัติเกี่ยวกับสินเชื่อของบุคคลนั้นๆ 2) Capacity ความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งก็คือฝั่งรายได้ อาจรวมถึงประวัติการชำระเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ ของผู้ขอสินเชื่อด้วย 3) Collateral คือหลักประกัน เช่น ที่ดิน บ้าน รถ สินทรัพย์ต่างๆ เป็นต้น
แม้แต่การกู้ยืมแบบที่มีสินทรัพย์มาค้ำประกัน ผู้ให้กู้ก็ยังจำเป็นต้องมีข้อมูล C 1) และ 2) มาประกอบการพิจารณาระดับหนึ่ง เพราะการกู้ยืมไม่ใช่การรับจำนำ ดังนั้น เมื่อข้อมูลมีความสำคัญต่อการพิจารณาให้สินเชื่อ คำถามเดิมที่ผู้เขียนต้องขอถามอีกครั้งหนึ่ง คือหากข้อมูลมีไม่เพียงพอ หรือทราบว่าข้อมูลจำเป็นบางส่วนยังขาดอยู่ จะพิจารณาอย่างไร จะตัดสินใจอย่างไร
แล้วการเป็นผู้ที่ไม่เคยมีข้อมูลอยู่ในระบบของสถาบันการเงิน หรือการที่ไม่รู้ว่าจะจัดชุดข้อมูลอย่างไรที่จะแสดงถึงศักยภาพ ควรเป็นเหตุอันเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงสินเชื่อและโอกาสที่จะยืนหยัดและเติบโตต่อไปอย่างนั้นหรือ ผู้เขียนคิดว่าไม่ใช่และไม่ควรอย่างแน่นอน ต้องยอมรับว่ามีครัวเรือนที่ประกอบธุรกิจและวิสาหกิจขนาดเล็กจำนวนมาก ที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจ หรือแม้กระทั่งไม่ไว้ใจที่จะยอมแสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของตน แล้วเราจะช่วยให้คนกลุ่มนี้ ที่อาจจะไม่เคยมีประวัติสินเชื่อในระบบ C 1) ณ จุดตั้งต้น แต่สามารถมีข้อมูล C 2) ที่แสดงศักยภาพในการจ่ายชำระสินเชื่อ เพื่อต่อยอดโอกาสในการเติบโตของพวกเขาได้อย่างไรบ้าง
ในต่างประเทศ มีกลไกที่เรียกว่า Credit Mediation หรือ ‘ตัวกลางเครดิต’ มีบทบาทในการช่วยให้เกิดการเข้าถึงสินเชื่อ โดยการเป็นติวเตอร์ด้านข้อมูลให้กับผู้ขอสินเชื่อ ช่วยจัดชุดข้อมูลที่จำเป็นต่อการประเมินสินเชื่อของสถาบันการเงิน และประสานให้สถาบันการเงินและผู้ต้องการสินเชื่อได้พูดคุยเจรจากัน โดยหลักแล้ว ผู้ใช้บริการ Credit Mediation ในต่างประเทศมักจะเป็นธุรกิจ SME แต่ผู้เขียนเห็นว่ากลไกนี้สามารถนำมาปรับใช้กับภาคครัวเรือนที่ประกอบธุรกิจและเป็นวิสาหกิจขนาดย่อมของประเทศไทยได้
ในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินโลก หลายประเทศในทวีปยุโรป ได้จัดตั้งกลไกล Credit Mediation หรือบางประเทศเรียก Credit Reviewer ขึ้น เริ่มจากฝรั่งเศส ซึ่งได้จัดตั้ง National Credit Mediator ขึ้นครั้งแรกในปี 2008 ตามมาด้วยเบลเยียม เยอรมนี (เยอรมนีใช้กลไกนี้ชั่วคราวในช่วงวิกฤติการณ์เท่านั้น) ไอร์แลนด์ และสเปน ต่อมา สหราชอาณาจักรก็ได้ปรับใช้กลไกนี้ด้วย ทางฝั่งยุโรปจะใช้กลไกนี้กับผู้ที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อเป็นหลัก โดยเน้นการลดช่องว่างของข้อมูลระหว่างผู้ขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน ผ่านการช่วยวิเคราะห์สินเชื่อเบื้องต้นและให้คำแนะนำการจัดชุดข้อมูลประกอบเพิ่มเติม ตลอดจนประสานให้เกิดความเข้าใจระหว่างผู้ขอสินเชื่อและสถาบันการเงิน กล่าวคือตั้งอยู่บนหลักการ “ข้อมูลไป เงินมา” นั่นเอง
หลักการสำคัญอีกประการหนึ่งของกลไกนี้ คือไม่ต้องการให้ผู้ที่มีศักยภาพในระบบเศรษฐกิจสูญเสียโอกาสที่จะเข้าถึงแหล่งทุน จากการประเมินของ OECD พบว่ากลไกนี้ ยังประโยชน์ให้กับ SME ขนาดเล็กที่มีการจ้างงานน้อยกว่า 50 คน มากที่สุด (สำหรับยุโรป ต้องถือว่าเป็น SME ที่ไซส์เล็กมาก) และถึงแม้อัตราการได้รับสินเชื่อผ่านกลไกนี้จะอยู่ที่ประมาณ 50-60% ของผู้ใช้บริการ ก็ต้องถือว่าเป็นอัตราความสำเร็จที่ไม่เลวเลย จากที่โดนปฏิเสธสินเชื่อมาก่อนหน้า
หากนำกลไก Credit Mediation มาปรับใช้กับประเทศไทย ผู้เขียนเห็นว่า 1) ควรมีลักษณะเป็นกลไกระดับชาติดังเช่นในฝรั่งเศส ที่มีหน่วยงานกลางคือธนาคารชาติ เป็นเจ้าภาพร่วม 2) ควรเป็นกลไกที่มีความเป็นกลาง แต่ไม่รวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง ควรกระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ด้วย ดังกรณีของฝรั่งเศส และเยอรมนี ที่ทำงานร่วมกับหอการค้าต่างๆ เพื่อเข้าถึงครัวเรือนและวิสาหกิจาขนาดย่อมทั่วประเทศ 3) ควรมีลักษณะเป็นพี่เลี้ยงหรือติวเตอร์เครดิต ให้ความรู้ความเข้าใจ สอนวิธีวิเคราะห์ และให้คำแนะนำการจัดชุดข้อมูล ก่อนการยื่นขอสินเชื่อ โดยไม่รอทำงานกับผู้ถูกปฏิเสธสินเชื่อเท่านั้น
ในวันที่ ‘หนี้’ กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ การก่อหนี้ยังเป็นความจำเป็นสำหรับครัวเรือนที่ประกอบธุรกิจและวิสาหกิจขนาดเล็กของเรา ที่จะต้องเข้าถึงสินเชื่อเพื่อนำไปหมุนเวียน ต่อยอด นำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และ สิ่งสำคัญที่จะช่วยทั้งผู้ขอและผู้ให้สินเชื่อ คือ ข้อมูล ข้อมูล และข้อมูล