กองทุนFTAดันการผลิตข้าวสู่มาตรฐานสากล ยกข้าวไทยสู้เวทีโลก

กองทุนFTAดันการผลิตข้าวสู่มาตรฐานสากล ยกข้าวไทยสู้เวทีโลก

กองทุนFTA หนุนผลิตข้าวสู่มาตรฐานสากล ผ่านโครงการนำร่องต้นแบบการพัฒนาเกษตรกรผู้ปลูกข้าวสู่การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากลEU/NOP หวังทำรายได้เกษตรกรเพิ่ม 10%

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า  ผลการติดตามโครงการนำร่องต้นแบบการพัฒนาเกษตรกรผู้ปลูกข้าวสู่การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากลEU/NOPด้วยวิธีการบริหารจัดการน้ำเพื่อการทำเกษตรอินทรีย์ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ เพื่อพัฒนาเกษตรกรสู่การผลิตข้าวตามมาตรฐานสากล

กองทุนFTAดันการผลิตข้าวสู่มาตรฐานสากล ยกข้าวไทยสู้เวทีโลก

ทั้งนี้สศก. เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตข้าวให้ได้มาตรฐานสากลโดยเฉพาะการผลิตข้าวอินทรีย์ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น กองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ (กองทุนFTA) จึงได้ให้การสนับสนุนเงินทุนแก่วิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชน ต.ผักไหม อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษจำนวน15,598,853บาท ในการพัฒนาเกษตรกรผู้ปลูกข้าวสู่มาตรฐานการผลิตเกษตรอินทรีย์ สากล(EU/NOP)และการบริหารจัดการน้ำเพื่อการทำเกษตรอินทรีย์ โดยมีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการ

ผลจากการติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงานโครงการฯ ระหว่างวันที่ 5- 8 มกราคม2568 พบว่า กิจกรรมการผลิตข้าวสู่มาตรฐานสากลมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ จำนวน 100 ราย มีพื้นที่ปลูกข้าวในโครงการ จำนวน 1,929 ไร่ ซึ่งมากกว่าเป้าหมายของโครงการ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินงานโครงการปีที่ 3 ซึ่งอยู่ในช่วงระยะปรับเปลี่ยน 3 (T3) /Organic (มาตรฐานEU)และขณะนี้ได้รับการตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากลในระยะปรับเปลี่ยน จากคณะผู้ตรวจประเมินจากหน่วยงานตรวจรับรองสากล

กองทุนFTAดันการผลิตข้าวสู่มาตรฐานสากล ยกข้าวไทยสู้เวทีโลก

สำหรับในปี 2568 คาดว่าเกษตรกรในโครงการจะผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากลEU/NOPซึ่งจะทำให้ผลผลิตข้าวสามารถส่งออกไปจำหน่ายได้ในตลาดยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีราคาจำหน่ายสูงกว่าข้าวทั่วไป ทั้งนี้ คาดว่าเกษตรกรจะมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ด้านกิจกรรมการบริหารจัดการน้ำเพื่อการทำเกษตรอินทรีย์ ได้ดำเนินการก่อสร้างระบบเติมน้ำใต้ดินและควบคุมตามแบบเพื่อให้เข้ากับสภาพของพื้นที่ระบบเปิด

ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผลปรากฏว่า มีปริมาณน้ำเพิ่มมากขึ้นสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บสำหรับการปลูกข้าวในพื้นที่โครงการกว่า1,500ไร่ ส่งผลให้เกษตรกรผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น และมีรายได้เพิ่ม นอกจากนี้ ในฤดูแล้งยังมีน้ำใช้สำหรับปลูกพืชหลังนา เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียวและกระเจี๊ยบ รวมถึงเป็นแหล่งน้ำชุมชนที่ช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ถือเป็นโครงการต้นแบบในการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรที่ประสบผลสำเร็จ

กองทุนFTAดันการผลิตข้าวสู่มาตรฐานสากล ยกข้าวไทยสู้เวทีโลก กองทุนFTAดันการผลิตข้าวสู่มาตรฐานสากล ยกข้าวไทยสู้เวทีโลก

อย่างไรก็ดี ยังพบปัญหาการดำเนินโครงการที่เกษตรกรยังขาดความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติตามมาตรฐาน เช่น การบันทึกรายละเอียดข้อมูลรายแปลง การควบคุมการใช้ปัจจัยการผลิต การแยกอุปกรณ์ที่ใช้ในแปลง การใช้เทคโนโลยีในการบันทึกพิกัดแปลง และทักษะการสื่อสารภาษาต่างประเทศ ซึ่งจำเป็นต่อการขอรับการตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากลที่ปรึกษากลุ่มฯ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้ให้ความรู้ คำแนะนำแก่เกษตรกรอย่างต่อเนื่องสำหรับการเตรียมความพร้อมเป็นผู้ประกอบการที่จะได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในอนาคต