'มูดี้' หั่นเครดิตไทยลบ ส.อ.ท. ชี้ตรงจุด จี้รัฐบาลผ่าตัดใหญ่เศรษฐกิจ

'มูดี้' หั่นเครดิตไทยลบ ส.อ.ท. ชี้ตรงจุด จี้รัฐบาลผ่าตัดใหญ่เศรษฐกิจ

"ส.อ.ท." เผย มูดี้ หั่นเครดิตไทยเป็นลบ ชี้เศรษฐกิจเสี่ยงนโยบายภาษี-ภาระคลัง-หนี้ครัวเรือนสูง ไทยพึ่งพารส่งออกสูง "เอกชน" ไม่แปลกใจ แนะรัฐบาลเร่งปรับโครงสร้างทุกภาคส่วน ทั้ง "เศรษฐกิจ-การศึกษา-ราชการ" หวั่นกระทบภาพลักษณ์-ต้นทุนการเงิน ยันหากไม่เร่งดำเนินการไทยเสี่ยงโดนหั่นซ้ำลงอีก

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ภายใน Moody's ประกาศปรับลด Outlook Credit Rating ไทยเป็น Negative จาก Stable โดยอิงการปรับลดครั้งนี้มาจากเศรษฐกิจไทยเสี่ยงด้านนโยบายภาษีการค้า รวมถึงภาระการคลังที่สูง สะท้อนข้อจำกัดของการใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ถือเป็นการปรับลดที่มองว่าประเทศไทยมีความนิ่งไม่มีความผันผวนไปสู่ภาพที่เป็นลบด้วยเหตุผลหลายเรื่อง อาทิ ความแข็งแรงของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ซึ่งมองว่าจะอ่อนแอลง และในแง่ของการเติบโตของเศรษฐกิจโลก เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีโครงสร้างที่พึ่งพาการส่งออกมากถึง 60% 

"ท่ามกลางเทรดวอร์และท่ามกลางการปรับตัวและการเปลี่นแปลงซัพพลายเชนอย่างรวดเร็ว จึงมีผลต่อประเทศไทย เพราะโกบอลเทรดมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและอ่อนแอลง เราก็จะได้รับผลกระทบแรง ถือเป็นเรื่องที่เอกชนรู้อยู่แล้ว"

ดังนั้น ในภาพรวมนี้เป็นเรื่องของปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ซึ่งทางภาคเอกชนก็ไม่ได้ประหลาดใจหรือรู้สึกว่าสิ่งที่นักวิเคราะห์เศรษฐกิจเผยแพร่มาเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะที่ผ่านมา ส.อ.ท. ได้เรียกร้องให้ประเทศไทยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างจริงจังมาตั้งแต่ก่อนเทรดวอร์ 1 ด้วยซ้ำ เพราะไทยพึ่งพาการส่งออกและพึ่งจมูกคนอื่นหายใจเยอะ อีกทั้ง ยังเป็นการส่งออกโดยธุรกิจการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเป็นหลักที่เป็นของคนไทยยังไม่มาก

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีปัญหาหนี้ครัวเรื่องที่อยู่ในระดับที่สูง รวมทั้งปัญหาต่างๆ ทั้งนี้ ภาพสะท้อนที่นำมาวิเคราะห์ไม่ได้มีอะไรที่เกินกว่าสิ่งที่คาดการณ์ไว้ เพียงแต่ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไทยยังไม่ได้ทำอย่างจริงจัง ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรปรับโครงสร้างทั้งหมดแบบองคาพยพ ซึ่งไม่ใช่แค่โครงสร้างอุตสาหกรรมอย่างเดียว แต่เป็นการปรับครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งภาคอุตสาหกรรมได้ปรับโครงสร้างตามเทรนด์เศรษฐกิจโลกผ่าน 4GO (Go Digital-Go Innovation-Go Global-Go Green) 

"เอกชนมีนโยบายที่แบ่งแยกชัดเจนว่า อุตสาหกรรมดั่งเดิมที่อยู่กับคนไทยมาอย่างยาวได้ได้ถูกภัย Disruption ต่างๆ ทั้งความเสียเปรียบด้านต้นทุน แรงงาน ฯลฯ ไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งทั้งหมดจะต้องได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากภาครัฐ เรื่องเหล่านี้จะไปได้ไม่เร็วหากภาครัฐไม่เข้ามาร่วมหรือเป็นเจ้าช่วยทำในสิ่งที่เอกชนทำไม่ได้ เช่น กฎระเบียบที่มีอย่างหลายฉบับที่ล้าสมัยที่เอกชนได้พูดมาตลอด"

นายเกรียงไกร กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ทั้งเศรษฐกิจ การศึกษา รูปแบบราชการ เป็นต้น จะเป็นการสร้างความเข้มแข็งและศักยภาพให้กับประเทศ ส่วนการที่มูดี้ระบุว่าจุดแข็งไทยคือเรื่องเงินสำรองระหว่างประเทศที่ยังมีสูง ซึ่งตรงนี้เป็นจุดแข็ง ส่วนจุดที่ปรับลงเพราะมองว่าโครงสร้างทางเศรษฐกิจแบบนี้ยังกระทบระยะยาว

ส่วนเงิน 5 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลจะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกประเทศจะต้องทำเพื่อมาช่วยผู้ได้รับผลกระทบจากเทรดวอร์ จะเห็นชัดว่าหลายสำนักทางด้านเศรษฐกิจ ทั้ง IMF และเวิลด์แบงก์ ได้ปรับลด GDP ไทยลงค่อนข้างเยอะ ถือว่าสอดคล้องกันไปหมด ซึ่งล้วนมองสอดคล้องกันที่ว่าเศรษฐกิจของไทยอาจจะได้รับผลกระทบจากเทรดวอร์ที่รุนแรงอย่างมาก โดยเฉพาะโครงสร้างเศรษฐกิจภายในของไทยยังอ่อนแอจึงได้รับผลกระทบหนักกว่าประเทศอื่น 

"การวิเคราะห์นี้ช่วยให้ภาครัฐได้เห็นภาพชัดว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะทำหรือไม่ ถ้าเราปรับโครงสร้างได้ มูดี้ก็สามารถเพิ่มอันดับให้เราได้ เพราะเมื่อลดได้ก็ต้องเพิ่มได้ หากไม่ทำอะไรก็อาจเสี่ยงโดนปรับลดลงอีก ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่ส.อ.ท. ได้เรียกร้องมาโดยตลอด ต่างประเทศเห็นพ้องทุกสำนัก จึงถึงเวลาเอาจริงเอาจังทุกภาคส่วน ทั้งปรับปรุงลดกฎหมาย กฎระบบราชการ ระบบการศึกษา ต้องยกเครื่องทั้งหมดเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม ถ้าไม่ทำหรือทำช้าจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และต้นทุนทางการเงิน การกู้ยืมเงินระหว่างประเทศ จะทำให้ไทยเสียเปรียบและแข่งขันได้ยากขึ้น"