‘คนพิการที่ตกหล่น’ ด้วยวิธีการประเมินของไทย | ภาคภูมิ จตุพิธพรจันทร์
รัฐบาลไทยมีนโยบายช่วยเหลือผู้พิการหลายนโยบาย เช่น เบี้ยความพิการ บริการปรับสภาพที่อยู่อาศัย บริการฟื้นฟูสมรรถภาพ เป็นต้น อย่างไรก็ตามยังมีผู้พิการจำนวนมากที่ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนคนพิการ
หรือกล่าวคือ เกิดการตกหล่นคนพิการ ซึ่งการตกหล่นนี้ส่งผลให้ผู้พิการไม่สามารถเข้าถึงบริการที่ควรจะได้รับ การสำรวจความพิการโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2560 พบว่าประเทศไทยมีคนพิการจำนวน 3.69 ล้านคน
แต่มีเพียง 1.64 ล้านคน หรือร้อยละ 44.4 ของผู้พิการที่พบในการสำรวจเท่านั้นที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ ตัวเลขดังกล่าวก็ใกล้เคียงกับสถิติจำนวนผู้มีบัตรประจำตัวผู้พิการ จากฐานข้อมูลของกรมพัฒนาและส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในปี 2560 (1.86 ล้านคน)
สาเหตุอันดับหนึ่งของการตกหล่นที่พบจากการสำรวจดังกล่าว ก็คือ ความพิการของผู้ที่ตกหล่นนั้นไม่เข้าข่ายความพิการที่ขึ้นทะเบียนได้ (ร้อยละ 45.1 ของผู้ตกหล่น) ซึ่งปัญหานี้เกิดจากวิธีการประเมินความพิการของประเทศไทย ที่มีความไม่สอดคล้องกับหลักการสากลและนิยามของคนพิการที่ได้มีการกำหนดในกฎหมาย
คนทั่วไปมักจะมองความบกพร่องทางร่ายกาย เช่น แขนขาด ขาขาด แขนขาอ่อนแรง ว่าเป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลให้ผู้มีความบกพร่องประสบความยากลำบากในการทำกิจกรรมและการมีส่วนร่วมในสังคม
อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นอีกจำนวนมากที่ส่งผลต่อสมรรถภาพของบุคคลในการทำกิจกรรมและการมีส่วนร่วม เช่น ทักษะ อุปกรณ์ช่วยเหลือ ทัศนคติของคนรอบข้าง สถาปัตยกรรม
ดังนั้น ผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกายเหมือนกันสองคน อาจจะมีสมรรถภาพในการใช้ชีวิตไม่เท่ากันก็ได้ เนื่องจากทั้งสองคนนั้นเผชิญกับปัจจัยแวดล้อมที่แตกต่างกัน
ซึ่งแนวคิดเกี่ยวกับความพิการที่กว้างกว่าและเป็นที่ยอมรับกันข้างต้นนี้ได้ถูกสะท้อนในนิยามของคนพิการใน พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550
ที่ระบุว่า คนพิการหมายถึง “บุคลลซึ่งมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคม เนื่องจากมีความบกพร่อง ประกอบกับอุปสรรคในด้านต่าง ๆ”
อย่างไรก็ตาม แม้แนวคิดจะทันสมัยและถูกต้อง แต่ในเชิงปฏิบัติ การประเมินความพิการเพื่อออกบัตรประจำตัวคนพิการในประเทศไทยยังมีความไม่สอดคล้องกับนิยามของคนพิการที่ได้มีการบัญญัติไว้ในกฎหมายข้างต้น ซึ่งนำไปสู่การตกหล่นของคนพิการ
โดย การประเมินความพิการในประเทศไทยมีอยู่ 2 ปัญหาหลัก ได้แก่
1.การประเมินใช้ความบกพร่องและโรคเป็นข้อมูลหลัก ในการตัดสินว่าผู้เข้ารับการประเมินควรจะได้ขึ้นทะเบียนคนพิการหรือไม่ ถึงจะมีการคำนึงถึงความสามารถในการปฏิบัติกิจกรรมและมีส่วนร่วมอยู่บ้าง แต่มีเพียงผู้เข้ารับการประเมินบางกลุ่มเท่านั้นที่จะได้รับการประเมินความสามารถในการทำกิจกรรมและการมีส่วนร่วม
กล่าวคือ มีเฉพาะผู้ป่วยโรคจิตเวชรุนแรง และผู้เข้ารับการประเมินความพิการทางสติปัญญาเท่านั้นที่ได้รับการประเมินทั้งความสามารถในการทำกิจกรรมและการมีส่วนร่วม ส่วนผู้เข้ารับการประเมินรายอื่นก็ได้รับการประเมินเพียงความสามารถในการทำกิจกรรมพื้นฐาน เช่น การเดิน การพูด
นอกจากนี้ เนื่องจากแพทย์ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ประเมิน ไม่สามารถใช้เวลาประเมินความพิการได้มากนักเพราะมีภาระงานอย่างอื่นมาก จึงมักไม่ได้มีการสัมภาณณ์เชิงลึก ไม่ได้มีการตรวจสอบสถานที่อยู่อาศัยจริง แต่มักใช้ข้อมูลความบกพร่องหรือโรคมาคาดการณ์ระดับสมรรถภาพในการทำกิจกรรมและการมีส่วนร่วมของผู้เข้ารับการประเมินซึ่งอาจไม่เที่ยงตรงและแม่นยำเพียงพอได้
2.การกำหนดให้ผู้ที่สามารถขึ้นทะเบียนเป็นคนพิการได้นั้นต้องเป็นผู้มีความพิการประเภทใดประเภทหนึ่งจากกลุ่มความพิการ 7 ประเภทตามกฎหมาย
อันได้แก่ ความพิการทางการมองเห็น ทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย ทางจิตใจหรือพฤติกรรม ทางสติปัญญา ทางการเรียนรู้ และทางออสทิสติก อันทำให้ละเลยความพิการประเภทอื่นได้
ปัญหาสองประการข้างต้นส่งผลให้ผู้ที่ไม่ได้มีความบกพร่องหรือโรครุนแรงในกลุ่มความพิการ 7 ประเภทนั้นไม่สามารถขึ้นทะเบียนคนพิการได้ เช่น ผู้ตาบอดหนึ่งข้าง ไม่สามารถขึ้นทะเบียนคนพิการได้ เพราะไม่เข้าหลักคุณสมบัติการเป็นผู้พิการทางสายตา
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับหลาย ๆ คน ถึงแม้จะไม่ได้มีความบกพร่องหรือโรครุนแรงในกลุ่มความพิการด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เมื่อรวมผลกระทบจากความบกพร่องหรือโรคหลายอย่างที่มี
และผลจากปัจจัยแวดล้อมเข้าด้วยกันแล้ว ความบกพร่องหรือโรคที่ไม่รุนแรงนั้นก็สามารถส่งผลให้บุคคลหนึ่งมีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตได้อย่างมาก
เช่น ผู้ตาบอดหนึ่งข้างที่มีความบกพร่องด้านอื่นหรือโรคอื่นร่วมด้วยถึงแม้จะไม่รุนแรง อาทิ อาการหูตึงเล็กน้อย โรควิตกกังวลและตื่นตระหนก และเผชิญกับปัจจัยแวดล้อมที่เป็นอุปสรรค
อาทิ ไม่มีครอบครัวใกล้ชิดที่สามารถช่วยดูแลได้ หรืออยู่ในสังคมที่ไม่เข้าใจความบกพร่องประเภทนี้ ก็เป็นไปได้ว่าผู้เข้ารับการประเมินคนนี้อาจมีข้อจำกัดในการทำกิจกรรมและมีส่วนร่วมไม่น้อยไปกว่าผู้ตาบอดสองข้างก็ได้
มีกรณีตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของการประเมินความพิการของประเทศไทยอย่างชัดเจน งานวิจัยของคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี 2562
พบว่ามีเด็กที่ป่วยเป็นโรคสมาธิสั้น ซึ่งไม่สามารถขึ้นทะเบียนคนพิการได้ แต่มีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตอย่างมาก โดยผู้ปกครองของผู้ป่วยระบุว่าบุตรของตนมีพฤติกรรมวิ่งออกไปยืนบนถนนโดยไม่ใส่เสื้อผ้า และมีพฤติกรรมใช้มีดทำร้ายพ่อแม่
ซึ่งพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนี้เป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากการที่ผู้ป่วยมีความบกพร่องทางจิตใจหรือสติปัญญาที่ไม่รุนแรงอื่น ๆ ร่วมด้วย
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปรับปรุงวิธีการประเมินความพิการในประเทศไทยเพื่อแก้ไขปัญหาการตกหล่นคนพิการ ดังนี้
1.กำหนดให้ผู้เข้ารับการประเมินทุกคนควรจะได้รับการประเมินสมรรถภาพในการทำกิจกรรมและการมีส่วนร่วม โดยอาจกำหนดให้ผู้เข้ารับการประเมินทุกราย ได้รับการประเมินด้วยชุดคำถามมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งสามารถนำเอาชุดคำถามที่จัดทำโดย WHO อาทิ ICF Checklist หรือ WHODAS 2.0 มาใช้ได้เลยหรือปรับปรุงให้เหมาะสมกับประเทศไทยมากขึ้น
เนื่องจากชุดคำถามทั้งสองมีแนวทางในการประเมินความพิการที่กว้างขวางกว่าแนวปฏิบัติของไทยปัจจุบัน โดยผู้ทำหน้าที่ประเมินสมรรถภาพส่วนนี้อาจเป็นนักสังคมสงเคราะห์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูอื่น ๆ เช่น นักกิจกรรมบำบัด นักจิตบำบัด เป็นต้น
2.ควรใช้ทั้งข้อมูลความบกพร่อง สมรรถภาพในการทำกิจกรรม และสมรรถภาพในการมีส่วนร่วม ในการตัดสินว่าผู้เข้ารับการประเมินเป็นผู้พิการหรือไม่
องค์ประกอบทั้งสามนี้เป็นองค์ประกอบของความพิการตามนิยามสากล ทั้งนี้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคนั้นอาจไม่จำเป็นต่อการประเมินว่าผู้เข้ารับการประเมินเป็นผู้พิการหรือไม่ เพราะผลของโรคนั้นถูกสะท้อนอยู่ในข้อมูลความบกพร่องอยู่แล้ว
3.ไม่ควรจำกัดว่าผู้พิการจะต้องมีเพียง 7 ประเภทเท่านั้น กล่าวคือ ผู้เข้ารับการประเมิน ควรสามารถขึ้นทะเบียนเป็นคนพิการได้หากเป็นผู้ที่มีข้อจำกัดในการทำกิจกรรมและมีส่วนร่วมอย่างมาก และ/หรือมีความบกพร่องทางร่างกายหลายอย่าง โดยอาจจัดให้ผู้พิการกลุ่มนี้เป็น ‘ผู้พิการประเภทอื่น ๆ’
ส่วนเกณฑ์สำหรับตัดสินว่าผู้เข้ารับการประเมินเป็นผู้พิการประเภทใดประเภทหนึ่งในกลุ่มความพิการ 7 ประเภทนั้น ยังอาจสามารถใช้เกณฑ์กำหนดว่าต้องมีโรคหรือความบกพร่องในความพิการประเภทนั้นระดับรุนแรงได้เหมือนเดิม
การปรับปรุงแนวทางการประเมินความพิการให้สอดคล้องกับหลักการสากล และนิยามของคนพิการที่ได้มีการกำหนดในกฎหมายนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายและอาจใช้เวลายาวนาน ต้องมีกระบวนการพัฒนาคู่มือประเมินความพิการฉบับใหม่ การปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน การสร้างความเข้าใจกับทั้งเจ้าหน้าที่และสังคม
แต่อย่างไรก็ตามปัญหาการตกหล่นดังกล่าวควรได้รับการแก้ไขเป็นอย่างยิ่ง เพื่อทำให้คนพิการทุกคนในประเทศไทยเข้าถึงบัตรประจำตัวคนพิการ และได้รับบริการส่งเสริมให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมไทยได้อย่างมีคุณภาพ.
คอลัมน์ วาระทีดีอาร์ไอ
ภาคภูมิ จตุพิธพรจันทร์
นักวิจัย นโยบายด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)