"เอไอ" ไม่ใช่เรื่องไกลตัวในงานธุรกิจ ถึงเวลา.. ต้องเร่งนำ ‘เอไอ’ มาใช้งาน
เมื่อถามว่าเราได้เริ่มนำเอไอไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจเราบ้างหรือไม่ หลายคนก็อาจยังงงๆ อยู่ว่า เอไอจะทำอะไรได้บ้าง บางคนก็ไปนึกถึงการนำหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัติมาทำงานแทนพนักงานบางด้าน ซึ่งหลายเรื่องก็มักจะไม่สามารถ จะเกิดขึ้นได้จริงในทางปฎิบัติ
ทุกวันนี้ “เอไอ” ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันเรามากขึ้น ตั้งแต่ตื่นนอนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก็ต้องใช้ระบบจดจำใบหน้าหรือลายนิ้วมือในการเปิดเครื่องโทรศัพท์ เข้าเล่นโซเชียลมีเดียก็จะมีการแนะนำเนื้อหาต่างๆ ที่คาดว่าเราสนใจมาเสนอ การเดินทางก็มี Google Map ให้ใช้ รวมไปถึงโปรแกรมแปลภาษาอัตโนมัติ จนเราเริ่มชินกับการใช้เอไอในชีวิตประจำวัน
แต่เมื่อถามว่าเราได้เริ่มนำเอไอไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจเราบ้างหรือไม่ หลายคนก็อาจยังงงๆ อยู่ว่า เอไอจะทำอะไรได้บ้าง บางคนก็ไปนึกถึงการนำหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัติมาทำงานแทนพนักงานบางด้าน ซึ่งหลายเรื่องก็มักจะไม่สามารถ จะเกิดขึ้นได้จริงในทางปฎิบัติ แล้วก็เริ่มคิดไปเองว่าเอไอเป็นเรื่องไกลตัวกับงานธุรกิจ
การนำเอไอเข้ามาใช้ในธุรกิจมีปัจจัยสำคัญคือการนำข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์กรมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น ซึ่งเราอาจมองการนำเอไอไปใช้ในงานต่างๆ ได้สี่ด้าน ดังนี้
ด้านที่หนึ่ง การนำเอไอมาใช้เพื่อให้เราสามารถใช้ข้อมูลได้ดีขึ้นและเข้าใจแนวโน้มต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะทุกวันนี้เราอยู่ในโลกของ Big Data มีข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา แต่ทุกวันนี้ข้อมูลเหล่านี้มีเพียงเล็กน้อยที่นำมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจ โดยเฉพาะการใช้ในการตัดสินใจต่างๆ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องวางแผนที่จะเริ่มนำเอไอมาวิเคราะห์ข้อมูลแบบอัตโนมัติ
เอไอ สามารถนำข้อมูลมาหารูปแบบ (pattern) ที่เกิดขึ้นประจำ เช่น สามารถจะเข้าใจได้ว่า ลูกค้าของเราคือกลุ่มใด มาจากไหน สินค้าใดที่ขายดีในช่วงเวลาใด ตลอดจนสามารถวิเคราะหฺ์หาแนวโน้มต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น สินค้าที่เหมาะต่อการนำมาขาย กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ การกำหนดราคา และในปัจจุบันบริการบนระบบคลาวด์คอมพิวติ้งก็จะมีบริการเอไอที่สามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ธุรกิจต่างๆ แม้แต่กลุ่ม SME สามารถนำเอไอมาใช้วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อช่วยด้านการตัดสินใจเชิงธุรกิจได้ง่ายกว่าเดิมมาก
ด้านที่สอง การวิเคราะห์บริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า (Personalization service) ซึ่งเอไอทำได้ดี เป็นการต่อยอดจากการนำมาเอไอมาใช้กับการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ เพราะถ้าเรามีข้อมูลลูกค้ามากขึ้นก็จะเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าได้ดีขึ้น สามารถนำเสนอขายสินค้าและบริการต่างๆ ได้ดีขึ้น เช่นกันกับที่แพลตฟอร์มในโลกออนไลน์อย่าง Amazon หรือ Netflix สามารถแนะนำสินค้าหรือภาพยนตร์ให้เราได้ค่อนข้างแม่นยำ
เมื่อธุรกิจมีข้อมูลลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะยิ่งคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น เช่น Netflix นอกเหนือจากแนะนำภาพยนตร์ที่เราชื่นชอบก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าเราน่าจะรับชมในเวลาไหน ดังนั้นการสะสมข้อมูลลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทำให้เอไอสามารถสร้างบริการต่างๆ ที่ตรงใจกับลูกค้าได้ละเอียดและมีความหลากหลายมากขึ้น
ด้านที่สาม การนำเอไอไปพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ มีความฉลาดขึ้น ทุกวันนี้เรามีอุปกรณ์อย่าง สมาร์ทโฟน สมาร์ททีวี นาฬิกาอัจฉริยะ หรือรถที่มีระบบอัตโนมัติในบางด้าน ซึ่งก็คาดการณ์ได้ว่าต่อไปอุปกรณ์แทบทุกอย่างก็จะมีเอไอไปฝั่งอยู่ ทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ฉลาดขึ้น ตั้งแต่ตู้เย็น หม้อหุงข้าว แปรงสีฟัน หรือแม้แต่เสื้อผ้าที่เราสวมใส่
ด้านที่สี่ การนำเอไอไปประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำงานต่างๆ ให้เป็นแบบอัตโนมัติ เช่น การป้อนข้อมูลเข้าระบบที่ต้องทำซ้ำหลายครั้งก็อาจนำระบบ RPA (Robotic Process Automation) เข้ามาใช้ การทำงานในโรงงานหรือโกดังสินค้าก็อาจนำหุ่นยนต์หรือเครื่องจักรมาทำงานแบบอัตโนมัติ หรือแม้แต่การส่งสินค้าที่เริ่มมีการนำหุ่นยนต์หรือโดรนเข้ามาใช้งาน รวมไปถึงการใช้แชทบอทเพื่อตอบคำถามต่างๆ ของลูกค้าแทนพนักงานรับโทรศัพท์ เป็นต้น
ระบบอัตโนมัติเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อลดความผิดพลาดต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากคน รวมถึงเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน พนักงานที่เคยทำหน้าที่แบบเดิมๆ ก็จะมีเอไอเข้ามาช่วยงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถไปทำงานด้านอื่นๆ ได้มากขึ้น
ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าธุรกิจสามารถที่จะเริ่มวางแผนนำเอไอมาประยุกต์ใช้งาน โดยควรต้องเน้นในสี่ด้าน คือ ใช้เพื่อการตัดสินใจจากข้อมูล ใช้เพื่อให้บริการลูกค้าที่ดีขึ้น ใช้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความอัจฉริยะขึ้น และใช้เพื่อให้กระบวนการทำงานดีขึ้น ซึ่งในอนาคตหากธุรกจยังไม่นำเอไอมาใช้ก็จะแข่งขันต่อไปได้ยากขึ้นเรื่อยๆ