ทุกคนเชื่อ “ทฤษฎีสมคบ" | วรากรณ์ สามโกเศศ
เรื่องราวแนว "ทฤษฎีสมคบ" มีคนจำนวนมากในโลกเชื่อ ถึงแม้ตัวเราเองก็ตามเถอะ หากซื่อสัตย์กับตัวเองก็ต้องยอมรับว่าเชื่ออยู่บ้างเหมือนกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรเพราะจิตวิทยาของมนุษย์เป็นเช่นนั้น
ยกตัวอย่างเรื่องราวแนว "ทฤษฎีสมคบ" เช่น เอลวิส เพรสลีย์ ยังไม่ตาย, CIAเป็นผู้วางแผนเหตุการณ์ 9/11, อเมริกาลวงโลกไม่ได้ถึงดวงจันทร์จริง, มนุษย์ต่างดาวมีจริง, ผู้มีอิทธิพลในโลกสมคบกันควบคุมเศรษฐกิจและการเมืองโลก, แตงโมถูกฆ่าตายอย่างทารุณ ฯลฯ
เมื่อพูดถึง Conspiracy Theory หรือ “ทฤษฎีสมคบ” คนส่วนใหญ่มักเห็นภาพคนประหลาด หัวต่อต้านสังคม ผมยาว นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ใช้อินเทอร์เน็ต วันๆ สร้างเรื่องราวบ้าๆ บอๆ หลอกชาวโลก แต่หนังสือ Suspicious Minds (2015) โดย Rob Brotherton ชี้ให้เห็นว่าเป็นความเข้าใจผิด
ความเชื่อแปลกๆ เหล่านี้มาจากคนจำนวนมากที่อยู่รอบตัวเรารวมทั้งตัวเราเองด้วย ลองมาดูกันว่าเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ในเบื้องแรกเรื่องราวจาก “ทฤษฎีสมคบ” เป็นผลพวงจากการไม่มีคำตอบอย่างครบถ้วนให้แก่คำถามสำคัญที่อยู่ในใจของผู้คนหรือคำตอบไม่จุใจ หรือไม่เชื่อบางส่วนของคำตอบที่มาจากทางการ หรือมีบางหลักฐานที่ไม่สอดคล้องกับคำตอบหรือคำอธิบายที่ได้รับมา ดังนั้น จึงเกิด “ทฤษฎีสมคบ” ขึ้นเพราะให้คำอธิบายแก่สิ่งที่ไม่สามารถฟันธงลงไปได้
ตัวอย่างเช่นเรื่องของเหตุการณ์ 9/11 กลุ่ม “ทฤษฎีสมคบ” ถามคำถามว่ากลุ่ม Al Qaedaวางแผนและดำเนินการโจมตีทั้งหมดหรือทางการสหรัฐสร้างเหตุการณ์นี้ขึ้นเพื่อใช้เป็นอ้างในการก่อสงครามในตะวันออกกลางเพื่อผลประโยชน์ด้านน้ำมัน และ Osama Bin Laden ถูกฆ่าตายจริง ๆ หรือไม่ หรือถูกกักขังอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ในเรื่องนี้ทางการสหรัฐได้ชี้แจงละเอียดแต่บางประเด็นก็ไม่อาจฟันธงลงไปได้ เช่น Al Qaeda รับผิดชอบทั้งหมดหรือไม่ ส่วนการตายของ Bin Laden นั้นก็ให้เห็นเพียงภาพศพและพิธีกรรมส่งศพลงทะเลอย่างไม่ชัดเจนว่าศพอยู่ที่จุดใด และเหตุใดจึงไม่ให้ผู้คนเข้าไปเห็นศพจริงๆ
เรื่องนี้คาดเดาว่าทางการสหรัฐไม่ต้องการสร้างอารมณ์ด้านลบยิ่งขึ้นในกลุ่มของผู้สนับสนุน Bin Laden เพราะเหตุการณ์อาจบานปลายขึ้นได้
“ทฤษฎีสมคบ” จึงเกิดขึ้นโดยเอาจุดที่ไม่มีคำตอบชัดนี้มาขยายเป็นเรื่องราวเพื่อปิดช่องว่างของความคลุมเครือ และเพื่อหาผลประโยชน์ทางการเมือง ผู้คนที่อยากเชื่ออยู่แล้วและเอนเอียงไม่ชอบสหรัฐเป็นทุนเดิมก็เลยเฮโลกันเชื่อ เกิดเป็นกระแส “ทฤษฎีสมคบ” กล่าวหาสหรัฐว่าสร้างเรื่องเพื่อเป็นข้ออ้างในการก่อสงครามและ Bin Laden ยังไม่ตาย
มนุษย์นั้นโดยธรรมชาติรับรู้รับทราบอย่างที่ตนเองเลือกที่จะรับรู้รับทราบ ( แม่ฆาตกรบอกว่าลูกตนเองนั้นแท้จริงแล้วเป็นคนดีน่ารัก หรือเรามองดูตัวเองทีไรก็ไม่เห็นมีข้อบกพร่องอะไรเลย หรือส่องกระจกแล้วเห็นว่าตัวเองแก่ขึ้นแต่ก็ยังหล่อหรืองามสมวัย) ดังนั้น “ทฤษฎีสมคบ” ใดที่ตรงกับที่คิดและรู้สึกอยู่แล้วก็จะรับเอามาทันทีไม่มากก็น้อย ดังนั้นจึงมีบางส่วนของ “ทฤษฎีสมคบ” ติดอยู่ในใจเสมอ
“Climate Change” หรือ “Climate Crisis”นั้นมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ชัดเจนว่ากำลังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่หลายคนก็สงสัยว่ามีจริงหรือไม่เพราะมันหนาวใน 2-3 เดือนที่ผ่านมา การอ้างว่าเป็นวิกฤติการณ์ดูไม่สอดคล้องกับประสบการณ์ส่วนตัวซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ถึงแม้ว่าจะพานพบมาอย่างฉาบฉวยก็ตาม แต่เพียงพอที่จะทำให้เกิดความรู้สึกคลางแคลงขึ้นในใจ
เมื่อบวกความไม่ไว้วางใจภาครัฐและธุรกิจขนาดใหญ่ จึงเกิดความระแวงขึ้นทันทีว่ามันอาจเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ นักธุรกิจ และนักการเมืองสมคบกันแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์และควบคุมการเมืองโลกหรือไม่
การทำโพลครั้งหนึ่งในสหรัฐได้ข้อมูลว่าร้อยละ 40 ของประชาชนเชื่อว่า Climate Change เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์และภาครัฐกุขึ้นเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการรุกรานสิทธิพลเมือง
หากย้อนดูประวัติศาสตร์ของ “ทฤษฎีสมคบ” ก็จะพบว่ามันไม่ใช่เรื่องใหม่ มีมาแต่สมัยโรมันเมื่อกว่าสองพันปีมาแล้ว “ทฤษฎีสมคบ” ที่เราได้ยินกันจนเป็นความเชื่อทั่วไปก็คือเมื่อ 64 ปีก่อนคริสตกาล มีไฟไหม้ครั้งใหญ่เผาผลาญพื้นที่กรุงโรมไปถึง 2 ใน 3 “ทฤษฎีสมคบ” ตอนนั้นบอกว่าจักรพรรดิ เนโรเป็นคนวางแผน ระหว่างที่ไฟไหม้ก็เล่นดนตรีและร้องเพลงไปด้วย
บางคนอาจเห็นว่า “ทฤษฎีสมคบ” เป็นเรื่องสนุกที่ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละคนอย่างไม่มีพิษภัย แต่ความจริงก็คือบางเรื่องนำไปสู่โศกนาฏกรรมอย่างคาดไม่ถึง ระหว่าง ค.ศ. 1346-1353 (ยุคก่อร่างสร้างกรุงศรีอยุธยา) เกิดการระบาดอย่างหนักของกาฬโรคในโลกดังที่รู้จักกันในนามของ Black Death ประชากรโลกตายไปประมาณ 25% หรือกว่า 100 ล้านคน (จำนวนลดลงจาก 475 ล้านคน เหลือ 350-375 ล้านคน)
เมื่อไม่มีคำตอบชัดเจนว่าอะไรเป็นสาเหตุและมาจากที่ใด “ทฤษฎีสมคบ” ก็เกิดขึ้นโดยชี้ไปที่ชาวยิวซึ่งถูกบังคับให้ใส่เสื้อผ้าสีเหลืองอยู่แล้วอันเป็นเป้าที่ชัดเจนให้เป็น “แพะรับบาป” จนยิวจำนวนมากถูกแขวนคอ ถูกเผาทั้งเป็น และถูกฆ่าอย่างทารุณ
ในศตวรรษที่ 19 กลุ่มยิวที่ “ทฤษฎีสมคบ” เรียกว่า Elders of Zion ถูกกล่าวหาว่าเป็นยิวกลุ่มหนึ่งที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลรวมหัวกันสมคบสร้างและควบคุมความมั่งคั่งของโลกอย่างเลวร้าย
ความเชื่อในเรื่องนี้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนล้างเผ่าพันธุ์ยิวของบางส่วนของคนยุโรปในช่วงเวลาสงครามโลกครั้งที่สอง ฮิตเลอร์ในหนังสือ Mein Kampf ระบุความเลวร้ายของกลุ่มนี้เป็นข้ออ้างในการกำจัดยิว
“ทฤษฎีสมคบ” เป็นเรื่องเล่าที่เอนเอียงอย่างไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้สนับสนุน ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ “เขาว่ากันมา” ทั้งสิ้น
มนุษย์นั้นโดยธรรมชาติต้องการรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นรอบตัว เมื่อไม่รู้และมีคนหาคำอธิบายมาให้พร้อมทั้งให้ต้นเหตุและผลตลอดจนแรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังพร้อมการระบายสีสันก็เริ่มเอนเอียง
ยิ่งถ้ามีกลุ่มผู้ร้ายที่มีอิทธิพลและอำนาจอยู่เบื้องหลังด้วยแล้วยิ่งน่าตื่นเต้น ขึ้นไปอีก และหากผสมกับความเอนเอียงไม่ชอบในบางสิ่งเข้าไปด้วยแล้วก็จะสร้างพลังในการโน้มน้าวให้เชื่อได้มากยิ่งขึ้นโดยไม่ตระหนักว่ามีวัตถุประสงค์แอบแฝงอยู่เบื้องหลัง “ทฤษฎีสมคบ” เหล่านั้นอยู่
ความกระหายทางจิตวิทยาของทุกคนที่จะรู้เรื่องราวต่าง ๆ ทำให้มีทางโน้มที่จะเชื่อ “ทฤษฎีสมคบ” ในระดับหนึ่งอยู่เสมอ ถ้าคิดว่าท่านเป็นข้อยกเว้น ลองถามตัวท่านเองดูสิครับว่าท่านโยนทิ้ง “ทฤษฎีสมคบ” ไปทั้งหมดหรือไม่ในเรื่อง “เจ้าหญิงไดอาน่าถูกราชการลับอังกฤษฆ่า” / “โควิด-19 เกิดขึ้นจาก ห้องแล็บอย่างจงใจ” / และ “มีเบื้องหลังที่ล้ำลึกในการตายของประธานาธิบดีเคเนดี้ “ ฯลฯ
การตระหนักถึงพฤติกรรมของตนเองในเรื่องการเชื่อ “ทฤษฎีสมคบ” น่าจะช่วยทำให้เกิดความเข้าใจความเป็นจริงของโลกอย่างถูกต้องยิ่งขึ้นนะครับ.