สุขมากขึ้นจากใช้จ่าย | วรากรณ์ สามโกเศศ

สุขมากขึ้นจากใช้จ่าย | วรากรณ์ สามโกเศศ

น่าเห็นใจประชาชนค้างชำระหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลผ่านบัตรเกินกว่า  30 วันจำนวน 6 ล้านบัญชี ในจำนวนทั้งหมดประมาณ 46 ล้านบัญชี ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 13 แต่ก็เป็นหลักฐานของการใช้จ่ายเงินที่อาจทั้งจำเป็นและ “อยู่อย่างสบาย ๆ”

กล่าวคือเอาเงินในอนาคตมาใช้ไปก่อนเพราะรายได้ปัจจุบันไม่พอต่อความปรารถนาใช้จ่าย    เราไม่อาจทราบได้ว่าเจ้าของบัญชีเหล่านี้มีความสุขกับการใช้จ่ายเงินเพียงใด   ลองมาดูกันว่านักจิตวิทยามีความเห็นอย่างไร

หลายคนที่มีหนี้จนเกิดปัญหาในการค้างจ่าย มีสาเหตุจากหลายประการดังนี้ 

 (1) ความไม่รู้และการไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้      คนจำนวนมากก่อหนี้โดยไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ามีภาระดอกเบี้ยสูงเพียงใด    มิได้ค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองปรารถนาว่ามีคุณภาพเพียงใดและมีสิ่งเทียบเคียงอื่น ๆ ให้เลือกหรือไม่  และมีความจำเป็นที่ต้องก่อหนี้เพียงใด  

พูดง่าย ๆ ก็คือแยกไม่ออกระหว่าง need (สิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ในการดำรงชีวิต) กับ want (สิ่งที่ปรารถนาได้มา)    เมื่อพบเห็นสิ่งใดที่ทำให้เกิดความปรารถนาขึ้นก็ใช้บัตรเครดิตหรือบัญชีสินเชื่อที่ตนเองมีซื้อทันที   เรื่องการจ่ายหนี้คืนนั้นเอาไว้คิดกันในอนาคต

(2)  อารมณ์เป็นตัวกำหนด     เมื่ออารมณ์ของการอยากได้มาครอบงำ  คนส่วนใหญ่ก็มักมองข้ามความมีเหตุมีผลของการก่อหนี้  กอบกับเห็นเพื่อน ๆ ต่างก็มีสิ่งนั้นและใช้วิธีก่อหนี้เช่นเดียวกัน    การมีหนี้สินล้นพ้นตัวเป็นผลพวงของพฤติกรรมซึ่งมีอารมณ์เป็นตัวขับเคลื่อนคล้ายกับการเจ็บไข้ของมนุษย์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากพฤติกรรมในการบริโภคและการใช้ชีวิตทั้งสิ้น

(3)  การจ่ายเงินเพื่อหาความสุข     คนจำนวนมากคิดว่าการใช้จ่ายเงินซื้อสิ่งที่ตนเองปรารถนาคือการทำให้เกิดความสุข    ยิ่งได้ครอบครองมากก็ยิ่งมีความสุขมาก    ดังนั้นจึงก่อหนี้เพราะเป็นการได้ความสุขมาอย่างรวดเร็ว    

สุขมากขึ้นจากใช้จ่าย | วรากรณ์ สามโกเศศ

อย่างไรก็ดีหลายคนพบว่าการมีขนาดจอโทรทัศน์ใหญ่ขึ้น    มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัยขึ้น   มีเสื้อผ้าแบรนด์เนมหลากหลายขึ้น    ไปท่องเที่ยวบ่อยขึ้น    กินอาหาร            ร้านหรู     ฯลฯ      มิได้ทำให้เกิดความสุขดังที่คาดคิดไว้เลยและหากฉุกคิดถึงภาระดอกเบี้ยแล้วก็อาจเกิดความทุกข์ขึ้นมาด้วยซ้ำ

ประเด็นความสุขจากการซื้อนี้มีการกล่าวถึงกันมากในด้านจิตวิทยาสังคมในระดับสากล เพราะผู้คนทั้งโลกก็ประสบภาวะเดียวกันคือพบว่าเมื่อได้ครอบครองสิ่งที่ปรารถนาแล้ว   ความสุขก็พุ่งขึ้นทันที แต่สักพักความสุขก็ลดลงเพราะเคยชินกับสิ่งที่ได้มา  

จากนั้นก็มองหาสิ่งอื่น ๆมาครอบครองมากขึ้นเพื่อให้มีความสุขเพิ่มขึ้น พร้อมกับหนี้ที่พอกพูนเป็นดินพอกหางหมู      หากขาดศิลปะในการผ่อนใช้บัตรหนึ่งโดยเอาเงินจากอีกบัตรมาโปะ ก็อาจเกิดปัญหาขึ้นได้ถ้ารายได้ในระดับที่เคยได้รับเกิดสะดุดขึ้น     
 
คำถามที่น่าสนใจก็คือจะใช้จ่ายเงินในลักษณะใดที่ทำให้เกิดความสุข      หนังสือขายดีมากในระดับโลกเล่มหนึ่งพยายามให้คำตอบด้วยการใช้ 5 หลักการของการใช้จ่ายที่จะทำให้มีความสุขมากขึ้น    หนังสือ Happy Money :  The Science of Smarter Spending (E. Dunn and M. Norton ; 2013)       ให้หลักการดังต่อไปนี้

หลักการแรก  “ซื้อประสบการณ์”  พยายามใช้จ่ายเงินซื้อประสบการณ์มากกว่าสิ่งของแต่เพียงอย่างเดียว     งานวิจัยของทั้งสองพบว่าการมีประสบการณ์ประทับใจที่แปลกใหม่  เช่น  เดินป่า  ดูสัตว์แปลก ๆ   ชมคอนเสิร์ต    กินอาหารดี   ท่องเที่ยวสถานที่แปลกใหม่     ฯลฯ    ให้ความสุขมากกว่าการใช้เงินจำนวนเดียวกันซื้อสิ่งของ      ประสบการณ์ที่ประทับใจมีผลกระทบต่อจิตใจและเป็นประโยชน์มากกว่าการซื้อสิ่งของที่นับวันแต่จะเสื่อมสลาย     

หลักการที่สอง   “ทำให้เป็นสิ่งพิเศษ”   จงหยุดการได้รับสิ่งที่ให้ความสุขเป็นประจำสักวันแล้วกลับมารับเป็นปกติในวันรุ่งขึ้น    จะทำให้รู้สึกรื่นรมย์กับสิ่งนั้นมากขึ้น   เช่น   การดื่มการแฟชนิดโปรดหรือการดูยูทูป หากงดไปสักวันและกลับมาเป็นปกติจะทำให้มีความสุขมากขึ้น  

หลักการที่สาม  “จ้างได้จงจ้าง”    งานใดที่ตนเองไม่ชอบก็จงจ้างคนอื่นทำงานแทน เช่น   ทำความสะอาด    ซักผ้า    ล้างรถ ฯลฯ เมื่อมีเงินแล้วก็จงหาความสุขด้วยการซื้อเวลาและซื้อความน่าเบื่อ    หลักการข้อนี้กินความถึงการหยุดพักผ่อนสักพักก่อนที่จะกลับไปทำงานอย่างมีความสุขมากขึ้น     

สุขมากขึ้นจากใช้จ่าย | วรากรณ์ สามโกเศศ

 หลักการที่สี่   “ใช้เมื่อจ่ายครบ”     เส้นทางปกติคือซื้อของนั้นเลยแล้วผ่อนชำระ  คำแนะนำคือทำกลับกัน กล่าวคือเก็บเงินจนครบแล้วค่อยซื้อสินค้านั้น     วิธีการนี้จะให้ความสุขมากกว่าเพราะรู้ว่าไม่มีภาระดอกเบี้ย  จะมีความรู้สึกราวกับมันเป็นของฟรี

  หลักการที่ห้า    “ช่วยเหลือคนอื่น”     งานวิจัยของทั้งสองพบว่าในกว่า 100 วัฒนธรรมทั่วโลกแม้แต่ในประเทศที่ยากจนในอาฟริกาก็ใช้การให้เป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุข     เด็ก 4-5 ขวบก็รู้สึกมีความสุขจากการให้ของเล่นเพื่อน   ในหลายกรณีย์ ยิ่งมีเงินก็ยิ่งทำให้เกิดความโลภมากขึ้นและมิได้ทำให้เกิดความสุขขึ้นแต่อย่างใด   จงหาความสุขมากขึ้นจากการใช้จ่ายเพื่อคนอื่น

ทั้ง 5 หลักการ  มิได้แตะต้องด้านรายได้   หากเน้นไปที่ว่าจะใช้จ่ายเงินอย่างไรให้มีความสุขมากขึ้นโดยอาศัยงานวิจัยด้านจิตวิทยาสังคม      อย่างไรก็ดีมีข้อวิจารณ์หลายข้อโดยเฉพาะในเรื่องการ        “ซื้อประสบการณ์” ว่าประสบการณ์มิได้อยู่ในใจอย่างคงทนเสมอไป   บ่อยครั้งที่ต้องใช้จ่ายสูงมากอย่างไม่คุ้มค่า   แท้จริงแล้วยังมีอีกทางเลือกที่ให้ความสุขมากขึ้นได้โดยเอาเงินที่ไม่ซื้อประสบการณ์ไปใช้ในเรื่องอื่น ๆแทน

       มิติหนึ่งที่สำคัญของการใช้จ่ายเงินเพื่อให้มีความสุขมากขึ้นคือเวลา   กล่าวคือทุกคนมีเวลาจำกัดบนโลกนี้อย่างไม่รู้ว่าจำกัดมากน้อยแค่ไหน       อะไรที่สามารถซื้อเวลาและความสะดวกซึ่งก็คือเวลาเช่นเดียวกันได้ก็จงกระทำเพราะช่วยสร้างความสุข  

คำถามที่น่าใคร่ครวญก่อนซื้อก็คือ การซื้อนี้จะผลต่อการใช้เวลาของเราที่เป็นอยู่อย่างไร    เมื่อผู้คนเน้นไปที่เรื่องเวลาทั้งในระยะสั้นและระยะยาวมากกว่าคิดเรื่องเงินแต่เพียงอย่างเดียวแล้วก็จะคิดอะไรได้ทะลุปรุโปร่งมากขึ้น

ทุกคนที่มีเงินขนาดใกล้เคียงกันใช่ว่าจะมีความสุขในระดับเดียวกัน    แต่ละคนมีปัญญาแตกต่างกันในการใช้จ่ายเงินเพื่อให้มีความสุขมากขึ้น     อย่าคิดง่าย ๆ เพียงว่าถ้ามีเงินมากขึ้นแล้วก็จะมีความสุขมากขึ้นเสมอไป     จริง ๆ แล้วชีวิตมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่าเพียงการมีเงิน.