ความเชื่อมั่นของนักลงทุนสำคัญแค่ไหน? | เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว

ความเชื่อมั่นของนักลงทุนสำคัญแค่ไหน? | เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว

ข่าวดีเรื่องหนึ่งท่ามกลางข่าวที่น่ากังวลหลายเรื่อง คือการลงทุนจากต่างชาติในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 มีมูลค่า 69,949 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนราว 73.5%

แม้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าเม็ดเงินเหล่านี้จะไหลไปสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่อย่างน้อยก็สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง 

ความจริงแล้ว การจะหอบเงินข้ามน้ำข้ามทะเลมาลงทุนนั้น นักลงทุนจะมองเกมยาว ประเมินปัจจัยระยะสั้นกับระยะยาวควบคู่กันไป แม้ว่าตอนนี้ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศบางเรื่อง ได้กระทบกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ จนเกิดการชะลอตัวของเงินทุนไหลเข้า

และเป็นไปได้ว่าตัวชี้วัดพื้นฐานทางเศรษฐกิจหลายตัวจะส่งสัญญาณที่น่ากังวล แต่เหตุการณ์นี้คงไม่เลวร้ายถึงขนาดจะทำให้นักลงทุนทุกคนพับกระเป๋าหอบผ้าหอบผ่อนย้ายไปลงทุนที่อื่น

กลุ่มนักลงทุนที่น่าจะมีปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์นี้มากที่สุดคือ นักลงทุนระยะสั้น ซึ่งส่วนใหญ่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากส่วนต่างของราคาหุ้นหรือทรัพย์สิน พวกเขาจึงมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศทางการเมืองและเศรษฐกิจค่อนข้างมาก

เมื่อใดที่มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น พวกเขามักจะเป็นกลุ่มแรกที่ถอนเงินลงทุนออกไปจากประเทศไทย เพื่อรอดูท่าทีก่อนตัดสินใจว่าจะกลับมาลงทุนต่อไปอีกหรือไม่

การลงทุนประเภทนี้มีความคล่องตัวสูง สามารถย้ายเงินเข้าออกได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของความผันผวนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ อัตราแลกเปลี่ยน และความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทย

เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนประเภทนี้ไม่ได้ลงไปสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ผู้ที่ได้ประโยชน์จากเงินทุนระยะสั้นคือผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดการเงิน ซึ่งเป็นคนเพียงกลุ่มน้อยในประเทศเท่านั้น

 

ความเชื่อมั่นของนักลงทุนสำคัญแค่ไหน? | เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว

ดังนั้น ประเทศที่มีเงินลงทุนระยะสั้นเข้าไปมาก ตลาดหุ้นอาจขยายตัวอย่างรวดเร็ว ดัชนีตลาดหลักทรัพย์พุ่งขึ้นทุกวัน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเศรษฐกิจของประเทศนั้นจะเข้มแข็งมั่นคงเสมอไป

อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินลงทุนระยะสั้นก็ยังมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจอยู่ระดับหนึ่ง เปรียบเสมือนผงชูรสทางเศรษฐกิจ ช่วยสร้างบรรยากาศในการลงทุนให้ดีขึ้น ถ้าบรรยากาศทางเศรษฐกิจคึกคัก การลงทุนในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงก็อาจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

การลงทุนที่แท้จริงมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจน้อยกว่า เพราะการลงทุนลักษณะนี้เป็นการลงทุนระยะยาว ผู้ลงทุนมักศึกษาปัจจัยต่างๆ มาอย่างละเอียดรอบคอบแล้วในระดับหนึ่ง

ความไม่แน่นอนในระยะสั้น อาจส่งผลการนักลงทุนชะลอการตัดสินใจ เพื่อแยกแยะวิเคราะห์เหตุการณ์ หากเป็นแค่เหตุการณ์ที่จะส่งผลในระยะสั้น ก็มักไม่กระทบกับการลงทุนประเภทนี้มากนัก แต่ถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดผลทางลบในระยะยาว การลงทุนประเภทนี้ก็จะหดหายไป ซึ่งจะส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองได้ในที่สุด

เวลานักการเมืองพูดถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน มักเป็นการพูดกันแบบเหมารวม มีอะไรเกิดขึ้นก็เอาแต่พูดว่าจะกระทบกับความเชื่อมั่นของนักลงทุน เดี๋ยวเงินจะไหลออก เดี๋ยวจะไม่มีใครกล้ามาลงทุน โดยไม่ได้แยกแยะให้ชัดเจนว่าการลงทุนประเภทไหนที่ได้รับผลกระทบ บางทีอาจเป็นเพราะหากแยกแยะชัดเจนอาจทำให้คำพูดของตนดูมีน้ำหนักน้อยลง ไม่เป็นข่าว หรืออาจเป็นเพราะขาดความเข้าใจอย่างแท้จริง เห็นเขาว่ากันมาก็ว่าตามกันไป

ถ้าต้องจัดลำดับความสำคัญแล้ว การลงทุนในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงมีความสำคัญมากกว่าการลงทุนในระยะสั้น ดังนั้น สิ่งที่ผู้บริหารประเทศควรให้ความสนใจเป็นลำดับแรกคือ การสร้างความเชื่อมั่นว่าเนื้อแท้ของเศรษฐกิจไทยยังมีความมั่นคงเข้มแข็ง ไม่ต้องไปกังวลกับการขึ้นลงของตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจระยะสั้น

เพราะหากเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง เดี๋ยวตัวชี้วัดเหล่านี้ก็จะกระเตื้องขึ้นเอง ที่สำคัญคือต้องมั่นใจว่าประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขัน ผลิตสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพ ด้วยต้นทุนที่สมเหตุสมผล มีโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาประเทศชัดเจน

จะว่าไปแล้ว ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งสองประเภทจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวิธีการรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นของรัฐบาล หากรัฐบาลมีแนวทางที่ชัดเจน มีแผนที่เป็นรูปธรรม และสามารถแสดงให้เห็นได้ว่าสามารถประคองประเทศผ่านมรสุมที่รุมเร้าเข้ามาได้

แสดงให้เห็นว่ารู้ทันเกมการเศรษฐกิจและการเมืองโลก มีท่าทีในการรับมือที่เหมาะสม ได้รับการสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่จากทุกภาคส่วนในประเทศ

ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือความเชื่อมั่นของคนในประเทศว่าอีก 3 ปี 5 ปีข้างหน้า ชีวิตคนไทยตาดำๆ จะดีขึ้นกว่าเดิมได้จริงๆ.
คอลัมน์ : หน้าต่างความคิด
ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์