“องค์กรไม่แสวงกำไร - กิจการเพื่อสังคม” นายจ้างในฝันของคนรุ่น
สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ดิฉันขอพูดถึงแนวโน้มของการมองหางานของคนรุ่นใหม่ ที่พวกเขามีแนวโน้มที่จะเลือกงานที่มี “คุณค่า”
หรือเลือกนายจ้างที่ “ทำประโยชน์” ให้แก่สังคมมากขึ้นนั่นเองค่ะ
โดย Today Online สื่อชั้นนำในสิงคโปร์ ได้รายงานว่าคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะหางานที่เงินเดือนไม่ได้สูงมากก็ได้ แต่ขอเป็นงานที่พวกเขาเชื่อว่ามันคืองานที่มี “ความหมาย” จริงๆ
ทุกวันนี้คนหางานที่พวกเขารู้สึกว่าทำให้ตนเอง “มีคุณค่า” ดังนั้นต่อไปการทำงานในองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไรหรือกิจการเพื่อสังคม โดยเป็นงานที่ตรงกับความฝันหรือจุดมุ่งหมาย จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ แม้บางครั้งความฝันหรือจุดมุ่งหมายนั้นอาจไม่ได้สร้างรายได้ที่สูงมากนักก็ตาม
โดยจากผลการสำรวจของบริษัทจัดหางาน BGC ยังพบด้วยว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่จะรู้สึกว่าการทำงานก็เหมือน “การลงทุน” พวกเขาต้องการสร้างผลดีให้แก่องค์กรที่ทำงานอยู่ และยิ่งหากธุรกิจนั้นมีผลกระทบต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อมภายนอก นั่นจะยิ่งเป็นแรงบันดาลใจที่ดีที่ทำให้พวกเขาต้องการร่วมงานในองค์กรนั้นๆ มากขึ้นไปอีก
บริษัทจัดหางานชั้นนำอย่าง Michael Page ยังพบผลการศึกษาอีกด้วยว่าคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะเลือกทำงานที่มีรายได้น้อยกว่า แต่เป็นงานที่พวกเขาเชื่อว่ามีคุณค่าและมีความหมาย แม้การจ่ายเงินเดือนควรจะมีความเป็นธรรม ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แต่ก็ยังไม่ใช่แรงจูงใจสูงสุด หากแต่เจตนาที่ต้องการทำในสิ่งดีต่างหากคือสิ่งที่พวกเขาพิจารณาเมื่อจะเข้าทำงานในองค์กรขนาดใหญ่หรือเล็กก็ตาม
นอกจากนี้ จากผลการสำรวจ Millennial Survey 2018 จาก Deloitte ยังพบว่าไม่ว่าจะเป็นองค์กรใหญ่หรือเล็ก พนักงานรุ่นใหม่ๆ มักต้องการให้นายจ้างของตนสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการรับฟังและตอบสนองในสิ่งที่พวกเขาต้องการ
แต่ก็ไม่ใช่แค่กลุ่มคนรุ่นใหม่เท่านั้นที่มองหางานที่มีคุณค่า จากการสำรวจของ Facebook นำโดย “ลอริ โกเลอร์” Head of People Strategy พบว่าในขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่มักเลือกหางานที่มีคุณค่าและมีความหมาย แต่ที่จริงแล้วกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไปเป็นคนกลุ่มเดียวใน Facebook ที่ให้ความสำคัญกับหลักการและเหตุผล ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า คนทำงานแทบทุกกลุ่มจะได้รับแรงจูงใจเมื่อพวกเขาเห็นหรือเชื่อว่าองค์กรทำในสิ่งที่มีความหมายต่อสังคม ควบคู่ไปกับการเติบโตในหน้าที่การงานและการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและสังคมที่ตนทำงานอยู่
แม้ว่าการทำงานบริษัทก็อาจเป็นงานที่ดีและมีคุณค่าได้เช่นกัน แต่การร่วมงานกับองค์กรไม่แสวงผลกำไรหรือกิจการเพื่อสังคมที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาสังคมด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะอาจสร้างผลกระทบเชิงบวกได้มากกว่า โดยเมื่อคนตัดสินใจทำงานในองค์กรไม่แสวงผลกำไร จริงอยู่ที่พวกเขาต้องสนใจว่าจะได้รับค่าตอบแทนเท่าไหร่ ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการทำงานในสถาบันการเงินวาณิชธนกิจ หรือบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ แต่ก็นับว่าปัจจุบันค่าตอบแทนการทำงานในองค์กรไม่แสวงผลกำไรก็ดีกว่าเดิมมาก และสามารถเทียบเคียงได้กับบริษัทเอกชนทั่วไป
และถึงแม้ว่ารายได้จะสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่องค์ประกอบเดียวของผลตอบแทนที่ได้รับ โดยปัจจุบันมีคนจำนวนมากที่ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบ ความเป็นมืออาชีพ การได้พัฒนาและสร้างคุณค่าให้ตนเอง โดยอาจารย์ “นูโน เดลิคาโด” จาก Lee Kuan Yew School of Public Policy จากสิงคโปร์อธิบายว่า แม้กิจการเพื่อสังคมหรือองค์กรไม่แสวงกำไรจะให้เงินเดือนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทเอกชน ยังมีมิติของความน่าสนใจอยู่ตรงที่การสร้างผลประโยชน์ให้แก่สังคม ซึ่งทำให้งานนั้นๆ มีความหมาย
ตัวอย่างเช่นในประเทศสิงคโปร์เอง ปัจจุบันมีหน่วยงานไม่แสวงกำไรมากว่า 2 พันแห่ง และมีกิจการเพื่อสังคมอีกหลายร้อยแห่ง ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการหาให้ได้ว่าสิ่งที่จะทำให้องค์กรนั้นๆ ดึงดูดความสนใจให้คนต้องการเข้ามาร่วมงานนั้นอยู่ที่ใด ซึ่งอาจทำให้โดยการเปิดรับอาสาสมัครเข้ามาทำงานหรือรับการอบรมเพื่อให้ได้สัมผัสประสบการณ์จริง
กล่าวโดยสรุป ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะมีความคิดว่าการทำงานในองค์กรไม่แสวงผลกำไรนั้นไม่น่าสนใจเท่ากับการทำงานบริษัท แต่ค่าตอบแทนของการทำงานในองค์กรไม่แสวงผลกำไรก็ดีกว่าที่หลายคนคาดคิด และการทำงานที่มีคุณค่าและสร้างผลประโยชน์ให้สังคมได้จริงๆ ก็อาจเป็นงานที่ดีกว่าบริษัทเอกชนทั่วไปด้วยซ้ำ ดังนั้นการร่วมงานกับองค์กรไม่แสวงผลกำไรจึงอาจเป็นงานที่ “ตอบโจทย์” ของใครหลายๆ คนก็ได้ ว่าไหมคะ