กุมบังเหียนมั่นคง-กองทัพ สภาวะไร้ม.44-รัฐบาลผสม
“เราต้องเข้าไปดูเรื่องการปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดความชัดเจนขึ้น รวมถึงการดำเนินการในส่วนต่างๆที่ยังคั่งค้างอยู่ว่าจะทำอย่างไร”
ซุ่มเสียงจาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่ตอบคำถามสื่อระหว่างเข้ารับตำแหน่ง “ผู้กุมบังเหียน” แห่งกองทัพ ถือเป็นการเปลี่ยนผู้คุมบังเหียนกองทัพและหน่วยงานความมั่นคงทั้งทหาร ตำรวจ ซึ่งแต่เดิมเป็นของ “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาไว้กับตัวอีกด้วย
โดยในส่วนของ “บิ๊กป้อม” ยังคงเหลือหน่วยงานด้านความมั่นคงในความดูแลคือ สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)และ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) กระทรวงมหาดไทย รวมถึงกระทรวงด้านสังคมอย่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ขณะที่ไฮไลต์สำคัญที่จะต้องจับตาหลังจากนี้ น่าจะอยู่ที่แผนปฏิรูปทั้งในส่วนของกองทัพและตำรวจ รวมถึงหน่วยงานความมั่นคงซึ่งก่อนหน้านี้ “บิ๊กตู่” ได้เคยประกาศกลางสภาไปแล้วว่า จะต้องมีการปฏิรูปทั้งการปฏิรูปองค์กร บุคลากร และวิธีการปฏิบัติงาน
ขณะเดียวกัน การผู้กุมบังเหียนกองทัพและความมั่นคงรวมไปถึงหน่วยงานสำคัญอย่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ของ “บิ๊กตู่” ในครั้งนี้ มีเสียงมาจากบรรดา “กูรูด้านการเมือง” มุมหนึ่งอาจมองได้ว่า เป็นการลดแรงเสียดทานอดีตภายใต้การนำของ “บิ๊กป้อม” ซึ่งกลายเป็นหมู่บ้านกระสุนตกและเป็นเป้าสังหารทางการเมืองอยู่หลายครั้งหลายครา
อีกแง่หนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การก้าวเข้าสู่อำนาจของ “บิ๊กตู่” ในวันที่ไร้หมวกคสช.และมาตรา 44 ในมือ การคุมกองทัพรวมถึงหน่วยงานความมั่นคงไว้ในมือย่อมมีผลต่อการหนุนฐานอำนาจรวมถึงเสถียรภาพของรัฐบาลในสภาวะ “รัฐบาลผสม” ที่มีเสียงปริ่มน้ำอยู่ไม่มากก็น้อย
คงต้องจับตาว่าการปรับแม่ทัพคุมความมั่นคงจาก “บิ๊กป้อม” มาอยู่ที่แม่ทัพใหญ่อย่าง “บิ๊กตู่” โดยตรงจะทำให้ “รัฐนานวาประยุทธ์ 2” ขับเคลื่อนไปในทิศทางใดต่อไป!!
โดย... ดารากร