GE จะล้มจริงหรือ...
อยู่มานานกว่า 100 ปี เคยได้ความน่าเชื่อถือระดับสูงสุด AAA นับสิบปี แต่ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวว่าบริษัทอาจจะล้ม
เรากำลังพูดถึง GE บริษัทซึ่งถูกกล่าวหาว่าซ่อนตัวเลขทางบัญชี และความเสียหายอาจมีมูลค่าสูงถึง 38 พันล้านดอลล่าร์ ผู้ที่กล่าวหาเรื่องนี้มีชื่อว่านาย Harry Markopolos
GE ยิ่งใหญ่เพียงใด คนทั่วไปทราบดี แต่ Harry Markopolos เป็นใคร ต้องทำความรู้จักกันหน่อยครับ
เขาคือนักบัญชี ซึ่งเมื่อต้นทศวรรษ 2000 ได้วิเคราะห์ข้อมูลกองทุนที่นาย Bernie Madoff เป็นผู้บริหารและพบร่องรอยทุจริต เขากล่าวหาต่อ ก.ล.ต. ว่า นาย Madoff ไม่ได้บริหารงานอย่างโปร่งใส
นาย Madoff รับสารภาพผิด ว่าสิ่งที่เขาทำ คือ แชร์ลูกโซ่ ขนาดใหญ่ ผลก็คือกองทุนล้ม และนักลงทุนเสียหายจำนวนมาก ส่วน Madoff ถูกพิพากษาจำคุก 150 ปี ชีวิตนี้ จบในคุกแน่นอน
นาย Markopolos จึงไม่ใช่นักบัญชีธรรมดา หลังจากเขากระเทาะเปลือกธุรกรรมของนาย Madoff จนกระทั่งฝ่ายหลังต้องติดคุก เขากลายเป็นคนดังระดับโลก เดือนที่แล้ว เขาออกมาอีกครั้ง ประกาศว่า GE ซ่อนตัวเลขที่ไม่ปกติ มีแนวโน้มล้มได้ และจะหนักหนากว่า Enron เสียอีก
ว่าแล้วเขาก็เติม G ข้างหน้า Enron อ่านว่า GEnron ถ้าผมพูดเป็นภาษาไทยก็ทำนองว่า “ร่อน" แน่ๆจ้า
ข่าวที่ออกมาเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2562 ทำให้ราคาหุ้นของ GE ร่วงลงทันที 11% เหลือหุ้นละ $8.01 เทียบกับ $30 เมื่อต้นปี 2017 และ $12 เมื่อสิงหาคม 2018 ไม่น่าเชื่อว่าบริษัทนี้ ซึ่งเมื่อปี 2000 มีมูลค่าตลาด 594 พันล้านดอลล่าร์ จะลดเหลือเพียง 78 พันล้านดอลล่าร์ เท่านั้นเอง
แต่ผู้บริหารของ GE ก็เรียงแถวกันออกมาปกป้องบริษัท เช่นนาย Lawrence Culp ซีอีโอ ประกาศว่านาย Markopolos ไม่เคยสอบถามข้อมูลใดๆจากบริษัทเลย และข้อมูลที่เขานำเสนอบางส่วนก็ผิด พร้อมสรุปว่า Markopolos มีเจตนาทำให้ราคาหุ้น GE ผันผวน เพื่อประโยชน์ส่วนตัว
ประธานกรรมการตรวจสอบของ GE ก็ออกมายืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปด้วยความโปร่งใส ไม่มีอะไรซ่อนเร้นอย่างแน่นอน
ผมคิดว่าขณะนี้ ทั้ง FBI และ ก.ล.ต. คงกำลังทำงานอย่างหนัก เพราะนาย Markopolos กับทีมงาน ก็ทำงานมานานถึง 7 เดือน รายงานการวิเคราะห์ของเขา มีความยาวถึง 175 หน้า
ความจริงจะเป็นเช่นใด และ GE จะมีโอกาสล้มอย่างที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ คงต้องรอผลการตรวจสอบของทางการเป็นหลักครับ แต่ในระยะนี้ บางสำนักก็ออกมาระบุว่าข้อกล่าวหาของนาย Markopolos ไม่ค่อยมีน้ำหนักเพียงพอ และช่วงสัปดาห์นี้ ราคาหุ้น GE ก็เริ่มสูงขึ้นบ้างแล้ว
คุณผู้อ่านมีคำถามในใจไหมครับว่า ทำไมนาย Markopolos จึงเก่งทางบัญชี จนสามารถแกะตัวเลขของนาย Madoff ได้ และที่เขาอุตส่าห์ลงทุนลงแรงวิเคราะห์ตัวเลข GE เขามีอะไรเป็นเหตุจูงใจ
เขาเป็นนักบัญชีที่เรียกกันว่า Forensic Accountant หรือนักบัญชีประเภท “พิสูจน์หลักฐาน” ชำนาญในการหาร่องรอยการกระทำความผิดทางบัญชี ซึ่งศาสตร์นี้เป็นศาสตร์ค่อนข้างใหม่ มหาวิทยาลัยไทยเรียกหลักสูตรนี้ว่า “นิติบัญชีศาสตร์”
ส่วนเหตุจูงใจนั้น ตอบได้ง่ายๆจากคำพูดของ Markopolos ที่ว่า เขาจะได้รับส่วนแบ่งจำนวนหนึ่ง จากเฮดจ์ฟันด์กองหนึ่ง ซึ่งได้ขายชอร์ต หุ้น GE ไปแล้ว ตรงนี้ก็ค่อนข้างสอดคล้องกับข้อกล่าวหาของ GE ที่ว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องที่นาย Markopolos ตั้งใจทำกำไรจากราคาหุ้น
เหตุจูงใจจึง ไม่ใช่เพราะมีอุดมการณ์สูงส่ง มุ่งจรรโลงสังคม อะไรทำนองนั้น ถึงแม้ว่าการวิเคราะห์ของเขา ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง อาจจะเกิดประโยชน์ต่อสังคมด้วยก็ตาม แต่ลึกๆแล้วก็บวกด้วยประโยชน์ส่วนตนเช่นกัน ซึ่งคน Wall Street ก็มักจะมีวิธีคิดแบบนี้เป็นส่วนใหญ่
ผมว่าถ้าเปรียบกับคนเป่านกหวีดอย่าง น้องแบม ผู้แกะรอยทุจริตโกงเงินคนจน น้องเธอแกะรอยด้วยใจบริสุทธิ์ และไม่มีประโยชน์อื่นใดเข้าตัวเอง แถมยังได้รับผลกระทบส่วนตัวอีกด้วย แต่ในที่สุดคนโกงก็ถูกลงโทษ และน้องแบมได้รับการปกป้องจากทางการและสังคม
คราวนี้ ผมอยากจะพาคุณผู้อ่านย้อนเวลา กลับไปหาชายชราที่ชื่อ Madoff อีกครั้งหนึ่งครับ วันเวลาผ่านไปหลายปี วันนี้ในวัย 82 ปี เขายังต้องใช้ชีวิตที่ยากลำบากอยู่ในคุก และคงเป็นเช่นนี้ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่... เราลองมาดูกันว่าคนใกล้ชิดเขา มีชีวิตเป็นเช่นใดกันบ้าง
น้องชายของเขา นายปีเตอร์ ถูกยึดทรัพย์สินเกือบ 100 ล้านเหรียญ และถูกจำคุก 10 ปี ส่วนคนที่ใกล้ชิดที่สุด ก็คือครอบครัว เริ่มจาก ภรรยา เธอไม่ถูกดำเนินคดีใดๆ แต่หลังจาก Madoff รับสารภาพ เธอก็ถูกยึดเงินสดและทรัพย์สินไปเกือบทั้งหมด เธอบอกว่าเธอและสามีเคยกินยานอนหลับเพื่อฆ่าตัวตาย แต่ไม่สำเร็จ
บุตรชายคนโต นายมาร์ค ไม่เคยถูกข้อกล่าวหาใดๆ แต่ก็รู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากพ่อเขาถูกจับได้ 2 ปี เขาก็แขวนคอตายในวัยเพียง 46 ปี เท่านั้น ทิ้งลูกวัย 2 ขวบไว้ 1 คน
บุตรชายคนที่สอง นายแอนดรูส์ ซึ่งเป็นคนที่แจ้งเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินคดีพ่อของเขาเอง ก็ไม่ถูกข้อกล่าวหาเช่นกัน แต่ระยะหลังเขาได้ป่วยเป็นมะเร็งและเสียชีวิตเมื่อปี 2014 ในวัยเพียง 48 ปี
เรื่องราวเศร้าๆของคนใกล้ชิด ในครอบครัว Madoff จะเป็นเหตุบังเอิญหรืออะไรก็ไม่ทราบ แต่ที่น่าคิดก็คือว่า ทำไมชีวิตของคนในครอบครัว ซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข กลับพลิกผันเป็นความทุกข์ บางคนถูกโรคร้ายรุมเร้า และจบลงอย่างน่าเศร้าเช่นนี้
อาจจะเป็นเหตุบังเอิญก็ได้ แต่ถ้าคิดแบบชาวพุทธ ก็เหมือนเป็นบทพิสูจน์ว่า กรรมนั้นมีจริง ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าด้วย เพราะว่าในยุคดิจิทัล กรรมก็เดินทางแบบดิจิทัลได้เหมือนกัน แม้ไม่ถึงกับรวดเร็วแบบเสี้ยววินาที แต่ภายในชีวิตนี้ มาทันก็แล้วกัน
ใครที่กำลังโกงชาติ โกงประชาชน อย่างไม่รู้จักหยุดยั้งและไม่รู้จักพอ ขอให้อ่านเรื่องของนาย Madoff อีกสักครั้ง....แล้วอาจจะตั้งสติได้ว่า ชีวิตนี้ ควรเดินต่ออย่างไร