จับซุ้มยาดอง..สรรพสามิตกับภารกิจ เพื่อชาติหรือเพื่อใคร? (2)

จับซุ้มยาดอง..สรรพสามิตกับภารกิจ เพื่อชาติหรือเพื่อใคร? (2)

จากบทความก่อน ที่ได้ตั้งคำถามถึง “ความเหมาะสม” และ “ความสุจริต” ในการทำหน้าที่ของ “กรมสรรพสามิต” กับ “ยุทธศาสตร์ เผาป่าล่าหนู” 

และ กรณีประกาศกร้าวจะบังคับใช้กฎหมายกับ ร้านยาดองภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย ทั้งหมดที่กฎหมายยังไม่เอื้อ...

จากเหตุเพียงเพราะมีชาวบ้านตายเพราะเหล้าเถื่อนไม่มีคุณภาพผสมคางคก จากร้านเพียงร้านเดียวที่ชลบุรี...

ด้วยพันธกิจของกรมสรรพสามิตมีต่อประเทศว่าจะ ผลักดันนโยบายภาษีเพื่อความผาสุกของประชาชนทุกคน ไม่ใช่เฉพาะเพื่อกลุ่มทุนบางกลุ่ม

นี่หรือคือ ยุทธวิธี ที่ กรมสรรพสามิต” เลือกใช้??

เหล้ายาดอง มีหลักฐานปรากฏตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย มีการจัดเก็บภาษีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. 2178... ถือเป็นยาโบราณที่หมอพื้นบ้านหรือแพทย์แผนโบราณของไทยใช้มาช้านาน สะท้อนถึงความเป็นไทย รวมถึงคุณประโยชน์ของสมุนไพรไทยที่สมควรอนุรักษ์และเชิดชู

จริงอยู่... ขึ้นชื่อว่า เหล้านั้นก็มีโทษ... ทั้งต่อร่างกายและต่อสังคม แต่ก็ไม่ได้ต่างไปจาก เหล้าฝรั่งหรือ เบียร์ไทยที่ ลัลลาเบลดื่มแล้วตาย ไม่ใช่หรือ?!?

เรื่องนี้สะท้อนปัญหา ความพิกลพิการของระบบสังคมไทยได้มากมายหลายมิติ

และถือเป็นเรื่องใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงรากฐานทางความคิดยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่กำลังหลงทางอยู่...

เริ่มตั้งแต่มุมเศรษฐกิจ... แม้ไม่มีการเก็บตัวเลขจำนวนร้านที่ขาย “เหล้ายาดอง” อย่างชัดเจน แต่เชื่อได้ว่า ในทุกตำบล น่าจะมีอย่างน้อยถึง 5 ร้าน... หรือ 6333 ร้านทั่วประเทศ และหากแต่ละร้านสามารถสร้างรายได้เดือนละ 3 หมื่นบาท ต่อเดือน มูลค่าทางเศรษฐกิจน่าจะสูงถึง 1.2 หมื่นล้านบาทต่อปี

ยิ่งหากรัฐบาล ช่วยส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาคุณภาพ... ให้ เหล้ายาดอง” หรือ เหล้าภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย” ชนิดอื่นๆ ให้ถูกกฎหมาย เรายิ่งน่าจะได้เห็นการส่งออก เหล้าท้องถิ่นภูมิปัญญาไทย” ออกสู่เวทีโลก ไม่ต่างจาก การส่งออก “สาเก” ของประเทศญี่ปุ่น ที่ทุกจังหวัด มีอัตลักษณ์เฉพาะของตนเอง และสร้างมูลค่าเพิ่มได้มหาศาล!!

นี่คือยุทธศาสตร์ชาติ ที่รัฐบาลควรเร่งพิจารณา... เพื่อการสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจระดับฐานรากของชุมชนท้องถิ่น และเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมลง

ย้ำอีกครั้งนะครับว่า “คนไทยระดับบน 1% มีสินทรัพย์เท่ากับ 66.9% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ ซึ่งสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก”

อะไรที่ต่างชาติเค้าทำ แล้วดี... เราก็ควรลอกเลียนและนำมาประยุกต์ใช้ อย่างที่เค้าเรียกว่า “C and D Model” ซึ่งย่อมาจาก Copy and Development...

ในมุมความมั่นคงของประเทศ... ท่านลองคิดดูสิครับว่าหากในอนาคต กลุ่มบริษัท ในเครือ “ไทยเบฟ” หรือ ในเครือ “ซีพี” ถูกซื้อกิจการไปเป็นของต่างชาติจะเกิดอะไรขึ้น?!?

ทั้งอาหาร... ทั้งร้านค้าปลีก... ทั้งเครื่องดื่ม... คงตกไปอยู่ในมือต่างชาติทั้งสิ้น

ในมุมธรรมาภิบาลและวัฒนธรรมองค์กรที่เสื่อมโทรมของ “กรมสรรพสามิต ก็เป็นที่รู้กันดีและโจษจันกันทั่วอยู่แล้วว่า อดีตอธิบดี... อดีตข้าราชการอาวุโสเกือบทุกรายไม่ต้องกลัวตกงานหลังวัยเกษียณ เพราะส่วนใหญ่ต่างได้รับเชิญไปเป็นที่ปรึกษาของ บริษัทค้าเหล้าพ่วงเบียร์รายใหญ่ กันอย่างโจ๋งครึ่ม!!

จนบางครั้ง ถูกนำมาเล่าเป็นเรื่องโจ๊กว่า ขว้างหิน ไปใน “กรมสรรพสามิต โดนหัวใคร ก็ต้องเคยรับ เครื่องบรรณาการ” จาก บริษัทค้าเหล้าพ่วงเบียร์รายใหญ่” ไม่เว้นแม้กระทั่งคนขับรถที่ทุกวันเกิด ก็ได้รับโทรทัศน์ฟรี!!

หาก เจ้าหน้าที่รัฐ” จะโต้ตามสูตรสำเร็จดั่งแผ่นเสียงตกร่องว่า ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นก็จะ ผิด ม.157” ... ก็อยากจะถามกลับไปว่า แล้วทีไอ้เรื่อง “Grab”... ที่ผิดกฎหมาย (วันนี้) แบบซึ่งหน้าเต็มบ้านเมือง ทำไมจึงได้รับการยกเว้นและแก้ไขอย่างรวดเร็ว? หรือเพราะนายทุนเหล่านี้เป็นนายทุนของพรรคที่ร่วมรัฐบาล จึงได้รับอภิสิทธิ์??

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ก็เคยมีความพยายามจะผลักดันให้ เหล้าท้องถิ่นภูมิปัญญาไทย เกิดขึ้นอย่างเสรีและถูกต้องตามกฎหมาย แต่แล้วก็เช่นเดิมตามสูตรคือ มี มือมืดค่ายสีเขียว” สั่งสรรพสามิต ชงล้ม” ทำให้เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะแท้งอีก!!

“คนไทย 50% หรือ 25 ล้านคน มีสินทรัพย์เทียบเท่ากับแค่ 1.7% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ และถ้าเอา 70% หรือ 35 ล้านคน ก็เพิ่มไปเป็นแค่ 5%”... ไม่รู้ รัฐบาลจะอวย... จะเอื้อ... นายทุนไม่กี่รายกันไปถึงไหน หรือต้องให้ชาวบ้านที่เป็นรากฐานของประเทศรุกฮือเพราะหมดความอดทนเสียก่อน?