ปัญหาภาวะผู้นำของ 'รมต.สธ.' ไทย อันตรายกว่าไวรัสโคโรน่า...
สถานการณ์การแพร่ระบาดของ “เชื้อไวรัสโคโรนา” (2019 nCoV) ล่าสุดยังคงอยู่ใน “สภาวะวิกฤต”
ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดจากทางการจีน ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2562 ที่มีการรายงานว่าเกิดการระบาดของโรคติดต่อทางเดินหายใจจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ยของจีน
ซึ่งข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 26 มกราคม 2563 พบว่าตัวเลขของผู้ติดเชื้อพุ่งสูงถึง 1,975 ราย และมีการรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตแล้ว 56 ราย โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว…
อย่างไรก็ตาม ที่น่าตกใจมากคือ บางกระแสข่าวจากแพทย์จีนในเมืองอู่ฮั่นระบุว่าจริงๆแล้วมีผู้ติดเชื้อกว่า 9 หมื่นรายและเชื้อได้พัฒนาไปสู่ เฟสที่ 2… ซึ่งสามารถแพร่ติดต่อได้ในอัตรา 1 ต่อ 14… และเริ่มมีผู้ป่วยที่ไม่ใช่คนสูงวัยและร่างกายอ่อนแอด้วยแล้ว โดยหนึ่งในนั้นเป็นหมอ วัย 62 ที่รักษาคนไข้… และอีกรายพบเป็นเด็กวัย 10 ขวบ หลังเครื่องตรวจวัดไข้ไม่สามารถตรวจจับอาการป่วยไข้ของเด็กคนนี้ได้ เนื่องจากเขาไม่ปรากฎอาการเบลอหรือไข้ขึ้นสูงแต่อย่างใด จนกระทั่งทีมแพทย์ตรวจด้วยเครื่องซีที-สแกน และตรวจผลเลือดและนํ้าลายจากห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ จึงพบมีความผิดปกติภายในปอด ก่อนตรวจพบในภายหลังว่าติดเชื้อไวรัสโรน่าเฟส 2…!!
แม้ท่านประธานาธิปบดีจีน “สีจิ้นผิง” จะออกคำสั่งหลายมาตรการเพื่อแก้ปัญหาการแพร่ระบาดไวรัสโคโลน่าและเพื่อควบคุมสถานการณ์แล้ว รวมถึงคำสั่งกฏหมายสูงสุด ซึ่งใครฝ่าฝืนมีโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือวิสามัญ แต่การแพร่ระบาดครั้งนี้ ก็ยังไม่สามารถจำกัดพื้นติดเชื้อได้… โดยล่าสุดได้มีการกระจายตัวออกนอกเมืองอู่ฮั่น ของจีน ไปสู่ประเทศอื่นอีกหลายประเทศ เช่น ฮ่องกง ,มาเลเซีย ,สิงคโปร์,ออสเตรเลีย,สหรัฐอเมริกา, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ไต้หวัน รวมถึงประเทศไทย
สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย…
แม้ “ท่านนายก“ จะสั่งการกำชับ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ให้เฝ้าระวังและคัดกรองผู้โดยสารจีนที่เข้ามาประเทศไทยและประกาศภาวะฉุกเฉิน พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรักษาสุขภาพแล้ว…
แม้ท่านนายกจะสั่งการให้กระทรวงท่องเที่ยว มีมาตรการเฝ้าระวังการแพร่เชื่อในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน…
แม้ล่าสุดเราได้ยกเลิกทุกไฟล์ทจากเมืองอู่ฮั่น…
แต่ไทยปัจจุบัน… ก็ถือเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด 8 ราย
In time of crisis, leader must lead...
แน่นอน ว่าเรื่องการแพร่ระบาดของโรคร้ายครั้งนี้ ถือเป็น “เรื่องวิกฤตระดับชาติ”…
แม้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยตรงกับประเทศเรา แต่หากเราจัดการไม่ดี… ปัญหาอาจบานปลายเกินคาดคิดก็เป็นได้
การแพร่ระบาดครั้งนี้ นอกจากส่งผลต่อสุขภาพและชีวิตพี่น้องประชาชนแล้ว ยังนำสู่ปัญหาเศรษฐกิจที่กระทบตรงเริ่มต้นจากการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายภายในประเทศ เป็นแน่
นี้ขนาดเหตุระบาดเกิดที่ประเทศจีน… สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ยังประเมินความเสียหายจากตัวเลขท่องเที่ยวในไตรมาส 1 ถึงกว่า 5 หมื่นล้านบาท
ไม่อยากคิดถึงความเสียทั้งชีวิตประชาชนและเศรษฐกิจเลย หากเกิดการแพร่ระบาดมายังประเทศไทย…
แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่ง คือทัศคติของ “นายอนุทิน ชาญวีรกุล”… “รองนายกรัฐมนตรี” และ “รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข“ ซึ่งกำกับดูแล “กระทรวงคมนาคม“ และ “กระทรวงการท่องเที่ยว”… โดยล่าสุด ได้โพสท์ลง facebook ส่วนตัว เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2563 ว่า
“ก็วันนี้เขายกเลิกไฟลต์จากอู่ฮั่นแล้ว สนามบินจะตั้งเครื่องตรวจคนไข้ ที่ GATE ของไฟลต์นี้หาสวรรค์วิมานทำไมล่ะคร้าบ คิดนิดนึงก่อนว่ากล่าวกันนะ ตอนนี้ยังควบคุมสถานการณ์ได้อยู่"
ด้วยสติปัญญาและสามัญสำนึกของประชาชนคนไทย ที่ได้แต่เฝ้าหวังและเฝ้าดู “ภาวะผู้นำ“ และ “วิสัยทัศน์“ ในการแก้ปัญหาครั้งนี้จากทีมผู้นำประเทศ คงไม่ต้องอธิบายว่าเรารู้สึกอย่างไร กับ “ทัศนคติเยี่ยงนี้“ ของ “คุณอนุทิน ชาญวีรกุล”…
ท่านอาจจะประสบความสำเร็จจากการใช้สื่อโซเชียลหาเสียง... หรือการสร้างกระแส...
แต่เรื่องนี้มันคือเรื่องความเป็นความตายของพี่น้องประชาชนซึ่งอาจส่งผลกระทบวงกว้างอีกเป็นได้...
ด้วยความรักจึงขอให้ระมัดระวังและรอบคอบเพิ่มขึ้น...
“รองนายกรัฐมนตรี“ คือ เบอร์ 2 ของประเทศ…
“กระทรวงสาธารณสุข” ดูแล “กรมควบคุมโรค” โดยตรง
ด้านการท่องเที่ยว… ปีๆหนึ่ง เรามีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาประเทศไทย เท่ากับ 1.1 ล้านคนต่อปี…
ด้านคมนาคม… แม้เราหยุดไฟล์ทจาก “อู่ฮั่น” แล้วแปลว่าการแพร่ระบาดมายังประเทศไทย จะหยุดนั้นหรือ?
ท่านจะโพสต์อะไร คิดอะไร บนโลกโซเชียล… มันเป็นสิทธิ์ของท่านแต่ ทุกสิ่งที่ท่านมีความเห็นมันมีแรงเหวี่ยงและสะท้อนได้ถึงแนวทางปฏิบัติให้กับเจ้าหน้ารัฐและผู้ใต้บังคับบัญชาท่าน!!
ถ้าท่านยังคงเป็น “เสี่ยหนู” ที่ทำธุรกิจก่อสร้าง… ก็คงไม่มีปัญหาอะไร
แต่วันนี้ ท่านคือ “รองนายก” และ “รมต. สาธารณสุข”… คิดนิดนึง…
ขออย่าให้ “วิกฤตการณ์” จากการแพร่ระบาดไวรัสร้ายครั้งนี้ สะท้อนถึง “คณะรัฐมนตรี” เราที่ “วิกฤต” จากการไร้ “ภาวะผู้นำ” นะครับ
“The true test of leadership is how well you function in a crisis”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องต่อได้ที่: