โควิด-19 ภัยของประเทศ! 'อยู่บ้านเพื่อชาติ' สู้ให้สูญเสียน้อยที่สุด
สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า โควิด-19 พบมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น กระจายจากกรุงเทพฯและปริมณฑล ออกไปรวมประมาณ 28 จังหวัดแล้ว
แม้ว่าก่อนหน้านี้ ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ดำเนินการปิดสถานบันเทิงและสถานบริการ แบบชั่วคราวเป็นเวลา 14 วัน และประกาศปิดด่านชายแดน ท่าเรือ ท่าอากาศยาน และจุดผ่อนปรนต่างๆ ทั่วไทย อีก 124 แห่ง
ท่ามกลางประเทศในอาเซียน อย่าง มาเลเซีย บรูไน อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ประกาศปิดประเทศ เพื่อสกัดกั้นการแพร่เชื้อ ขณะที่ประเทสไทยของเรานั้น ยังเชื่อว่าการแพร่เชื้ออยู่ที่ระยะที่ 2 แต่เตรียมพร้อมรับมือระยะที่ 3
คำอธิบายของรัฐบาล จากการแถลงของศูนย์ข้อมูลโควิด-19 (20 มี.ค.) นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงข้อเรียกร้องให้มีการปิดประเทศ ปิดเมือง ว่า ไม่อยากให้ประชาชนยึดติดกับว่าทำไมต้องให้รัฐบาลปิดประเทศ เพราะมาตรการต่างๆ ทำให้โอกาสที่คนจะเดินทางเข้าไทยมีน้อยมาก แม้ไม่ได้ปิดประเทศ แต่ผลลัพธ์ออกมาคล้ายกัน
"ข้อเรียกร้องให้ปิดกรุงเทพนั้น ยืนยันการปิดสถานที่ต่างๆสามารถควบคุมการแพร่เชื้อได้ โดยต้องขอความร่วมมือประชาชนให้งดการเดินทาง งดการรวมตัวของคนหมู่มาก ตามแคมเปญ อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ วันนี้บุคลากรทางการแพทย์อยู่ในสนามรบ หากเราจะช่วยแพทย์ ก็ต้องอยู่บ้าน หลีกเลี่ยงการเดินทางไปที่แออัด"
แน่นอน คำว่า "ปิดประเทศ ปิดกรุงเทพฯ" นั้น ก่อนหน้านี้ แนวร่วม "พลพรรคส้มหวาน" เคยมีท่าทีในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19แบบนั้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะ "เบาเสียงลง" เพราะหากประเมินมาตรการที่รัฐบาลทำอยู่ คือปิดด่านเข้า-ออกเกือบทั้งหมดของประเทศ และปิดสถานบันเทิง สถานบริการ แบบชั่วคราวเป็นเวลา 14 วัน ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล และกำลังขยายไปยังจังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19เพิ่มอีกด้วย ย่อมทำให้ว่า ใกล้เคียงกับคำว่าปิดประเทศ เพียงแต่ยังเปิดช่องให้คนเข้า-ออก ไม่ทำให้ตื่นตระหนกจนกักตุนอาหาร
อย่าลืมว่า มาตรการที่รัฐบาลออกมา กระทบคนในภาคธุรกิจบริการ สถานบันเทิง อีเว้นท์ และแหล่งท่องเที่ยง ต้องตกงานชั่วคราวจำนวนมาก ซึ่งประเด็นนี้ "คนในรัฐบาล" ระดับรัฐมนตรีก็ไม่กล้าพูดอธิบายแบบชัดถ้อยชัดคำ เพราะกระทบคนจำนวนไม่น้อย และคะแนนนิยมด้วย แต่ไม่ทำอะไรเลย หากสถานการณ์เลวร้ายอย่างรวดเร็วจะยิ่งยุ่งไปกว่านี้
ไม่แปลกที่ท่าทีของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะใช้เวลาช่วงนี้พิจารณาวางแผนทบทวนแนวทางรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลังจากได้รับฟังความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์อย่างรอบด้าน และได้ออกมาตรการควบคุมการระบาดในระดับหนึ่งแล้ว เช่น ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ
ลั่นพร้อมประกาศใช้มาตรการเข้มข้นสูงสุดหากถึงเวลาที่เหมาะสม เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคอย่างเด็ดขาด
โดยขอให้อดทนต่อความยากลำบาก พอเพียง เสียสละ คำนึงถึงส่วนรวม และแบ่งปันความสุขความทุกข์ไปด้วยกัน เพราะภัยโรคระบาดครั้งนี้เป็น "ภัยของชาติ" ไม่ใช่ "ภัยของคนใดคนหนึ่ง" และเวลานี้ไม่ใช่เวลาของการ "เอาชนะทางการเมือง" แต่เป็นเวลา "เอาชนะภัยของชาติ" เรียกร้องให้ทุกคนเข้าใจและจับมือกัน
นี่จึงเป็น "การบริหารสถานการณ์วิกฤติสุ่มเสี่ยง" ที่มีแพทย์-พยาบาลเป็นกำลังรบ โดยหมอใหญ่ผู้เชี่ยวชาญโรคเป็นฝ่ายเสนาธิการ
ดังที่ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า
"การทำศึกสงคราม ถ้าบอกว่าไม่สูญเสียนั้น ไม่มี มันจะต้องสูญเสีย แต่จะสูญเสียอย่างไรก็ต้องมีกลยุทธ์ ให้สูญเสียน้อยที่สุด แต่ศึกครั้งนี้ เป็นศึกใหญ่หลวง และอาจเป็นศึกที่ยาวนาน จึงต้องดำเนินมาตรการแบบสมดุล โดยถ้าใช้ยาแรง วันหนึ่ง เราอาจตายจากอย่างอื่น ดังนั้น จึงต้องเลือกภาวะสมดุล และทำอย่างไรจะมีแรงและกำลังเพื่อต่อสู้ให้สูญเสียน้อยที่สุด"
ฉะนั้น ถ้าไม่ฟังนายกรัฐมนตรี ก็น่าจะเชื่อฝ่ายเสนาธิการใหญ่!!