ชะตา 'รัฐบาล' อยู่หรือไป?
การตัดสินใจคลายกฎเหล็ก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของ ครม.หวังขับเคลื่อนกลไกเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก ให้สามารถเดินหน้าต่อได้
เพื่อให้ ‘คนตกงาน’ ทั้งในระบบ นอกระบบ และแรงงานที่ไม่ปรากฎฐานข้อมูล ได้กลับไปค้าขาย ให้บริการ รวมทั้งเดินทางข้ามจังหวัดได้
แต่เมื่อ ‘โควิด-19’ ยังวนเวียนอยู่รอบตัวทุกคน มาตรการที่ยังคงเอาไว้ จะสามารถควบคุมการระบาดรอบใหม่นี้ได้แค่ไหน ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ที่อยู่ระหว่างการระดมทีม“ฟื้นฟู” เพื่อป้องกันไม่ให้ยอดผู้ว่างงาน ทะยานเพิ่มสูงขึ้นในอีก 2 เดือนข้างหน้า และกลายเป็นที่มาของการเกิดจลาจล ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ารัฐบาล จะอยู่หรือไป
เดือนพฤษภาคมนี้ ต้องลุ้นกันว่า สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 จะกลับมาปะทุรอบใหม่หรือไม่
หากรัฐบาล ตัดสินใจพลาด แน่นอนว่า กระแสจะตีกลับทันที ซึ่งไม่เฉพาะกระแสสังคม แต่ยังจะลามไปถึงการเมืองด้วย
ล่าสุดข้อมูลในวงรัฐบาล มีการคาดการณ์เบื้องต้นว่า สถานการณ์ของไทย “จะฟื้นตัวภายใน 6 เดือน หรือ 1 ปี”
โดยประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของรัฐบาล “รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร”
ฉายภาพในมุม “เสถียรภาพ” ของรัฐบาล ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ไว้อย่างน่าคิดว่า
“คำถามที่ว่า รัฐบาลจะอยู่รอดหรือไม่ ก็ต้องตัดสินกันในการแพร่ระบาดระลอกสอง และการฟื้นฟู เยียวยา จะเกิดขึ้นในระลอกสาม”
เพราะถึงแม้ไทยจะคุมอยู่ เพราะภาพรวมการติดเชื้อ ลดระดับลงมาเรื่อยๆ จนเหลือเลขตัวเดียว แต่หลังจากการคลายล็อค ก็ต้องรอดูการระบาดระลอกใหม่ ว่าจะมี “รอบสอง” หรือไม่ ขณะที่ไทยกำลังจะเข้าสู่ฤดูฝน
“ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ที่จะส่งผลทางการเมือง และความอยู่รอดของรัฐบาล ถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่จะเข้ามาในช่วงระลอกสาม เพราะระลอกหนึ่งและสอง เป็นผลกระทบที่มาจากการแพร่ระบาดของไวรัส แต่ในระลอกที่สาม เป็นผลกระทบที่มาจากการปิดประเทศ และเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ตอนนี้รัฐบาลกำลังระดม หาทางฟื้นฟู และเริ่มผ่อนคลายในบางเรื่อง เพื่อให้สามารถเดินไปได้”
“ดังนั้นจึง ต้องดูว่าในอีกเดือน สองเดือนข้างหน้า ตัวเลขคนตกงานพุ่งสูงหรือไม่ เพราะเป็นตัวเลขที่กระทบเสถียรภาพของประเทศและรัฐบาล”
“ในช่วงที่มีการผ่อนคลาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในระยะที่สอง หากคุมการปะทุและผลักดันการฟี้นฟูระดับฐานรากได้ สถานการณ์ของรัฐบาลไม่น่าจะเลวร้ายมากนัก"
นี่เป็นการประเมินชะตารัฐบาล ของประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของรัฐบาล
ขณะที่อีกด้านหนึ่งของ “การเมือง” ที่กำลังเป็นปัญหาซ้อนทับเข้ามาในวิกฤติโควิด โดยนายกรัฐมนตรี กำลังถูกลากเข้าไปเกี่ยว
ศึกในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แกนนำรัฐบาล ที่เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมี “พี่ใหญ่” อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เสาหลักของพรรค ที่กำลังถูกนักการเมืองเชิดขึ้นมาเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ
เป็นที่รับรู้กันภายในพรรคร่วมรัฐบาลว่า จังหวะการปรับ ครม.รอบแรก จะมีการประเมินผลงานในระยะ 6 เดือนถึง 1 ปี และทำท่าจะมีการเขย่าเก้าอี้กันหลังศึกซักฟอกของฝ่ายค้านที่ผ่านมา
“ช่วงแรกก่อนเกิดการระบาดโควิด ก็จะปรับ จะเขย่าใหม่ เพราะเศรษฐกิจสะดุด เดินช้า ปั่นป่วน แต่พอมีสงครามไวรัส ต้องระดมกำลังไปสู้ โดยไม่มีการเปลี่ยนม้าศึกกลางสนามรบ แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่การผ่อนคลายเยียวยา อาจจะต้องมีการปรับทัพกันอีก” ข้อมูลบางส่วนที่อาจารย์ปณิธาน บอกเล่าถึงไทม์ไลน์การเขย่า ครม.
ขณะที่นักเลือกตั้ง นักการเมืองอาชีพ กลับรีบร้อนที่จะเดินหน้าตามไทม์ไลน์การเมือง ที่่มีข้อตกลง ในการผลัดเปลี่ยนเวียนเก้าอี้รัฐมนตรี
หากยังดันทุรังเดินเกมอย่างไม่สนปัญหาชาติบ้านเมือง “ชะตา”รัฐบาล จะอยู่หรือไป อาจไม่ใช่เพราะ“โควิด“รอบไหนๆ แต่ ”เกมบีบปรับ ครม.รอบแรก” นี่แหละ ที่อาจพังรัฐบาลก่อน!