รักสถาบันประเทศชาติ...พึงละวิปลาส .. ด้วยสติปัญญา !!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. พระพุทธองค์ได้ตรัสเล่าถึงเรื่องในอดีตว่า
“..สมัยหนึ่ง พระโพธิสัตว์เป็นพระราชโอรสองค์เล็กที่สุดในจำนวน ๑๐๐ พระองค์ จึงคิดว่าอย่างไรก็คงยากที่จะได้ครองราชสมบัติในนครนี้ จึงได้มีโอกาสกราบเรียนถามพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มีพระอนาคตังสญาณ ได้บอกพระโพธิสัตว์ราชกุมารว่า จะไม่ได้สืบราชสมบัติในครั้งนี้แน่นอน แต่ถ้าเสด็จไปนครตักสิลา ก็จะได้ครองราชสมบัติในนครนั้น ที่สำคัญคือ ในระหว่างทางที่เสด็จ จะมีอันตรายเกี่ยวกับอมนุษย์คือ มียักษิณี.. ถ้าสามารถผ่านพ้นอันตรายนั้นได้ก็จะได้ครองนครตักสิลา.. จึงขอให้มีสติเข้มแข็ง อย่าหลงใหลต่อความยั่วยวนของยักษิณี... และต่อมาด้วยความเคารพในคำสั่งสอนจึงทาให้พระโพธิสัตว์ราชกุมารได้ขึ้นครองราชสมบัติตามประสงค์ จึงได้กล่าวภาษิตว่า..
เราไม่ตกอยู่ในอำนาจยักษิณี ได้ถึงความสวัสดีปานนี้ ก็เพราะเป็นผู้มีความเพียร ดำรงอยู่ในคำสอนของผู้ฉลาด ด้วยจิตใจที่มั่นคง ไม่หวั่นไหว ... เพราะเหตุที่เรากลัวภัยจึงรอดมา..”
จากเรื่องดังกล่าวทำให้เข้าใจได้ว่า เส้นทางชีวิตที่ดำเนินไปของแต่ละคน.. ที่รวมหลายๆ คนเป็นมหาชน .. สู่ความเป็นสังคมประเทศชาติ ว่าแท้จริงจะดำเนินไปสู่จุดมุ่งหมายความเจริญวัฒนาสถาพรได้หรือไม่นั้น .. ก็คงต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพจิตของแต่ละบุคคล.. ที่รวมเป็นคุณภาพจิตของสังคมประเทศโดยมวลรวม ว่ามีความเข้มแข็ง มั่นคง ดำรงอยู่อย่างมีสติ แข็งแรง หรือไม่เป็นสำคัญ..
การคำนึงถึง การรู้ชัดในประโยชน์และรู้ชัดในสิ่งที่เหมาะสม.. เหมาะควร.. จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดต่อการดำเนินไปของชีวิต ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม
ใครก็ตามรู้จักพิจารณาใคร่ครวญก่อนจะตัดสินใจกระทำการใดลงไปในกิจนั้นๆ .. ย่อมจักประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน.. ด้วยผู้ที่หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไร้ประโยชน์และเหมาะสมได้ ย่อมจะประกอบความก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วตามประสงค์.. ก่อนจะนำไปสู่การปฏิบัติอย่างถูกต้องตามธรรมวิธี.. ด้วยสติเป็นประธาน มีปัญญาคล้อยตาม จนขจัดความหลงผิด .. ประพฤติผิดให้สิ้นไปได้ ด้วยความรู้ชัดโดยไม่หลงผิดนี้ ด้วยรู้เท่ารู้ทันในสภาวธรรมทั้งหลาย ด้วย การรู้เท่า คือ ปัญญา .. รู้ทัน คือ สติ ด้วยมีปัญญาเป็นประธาน สติคล้อยตามปัญญา...
วันนี้ของสังคม .. แห่งวัตถุนิยม .. วัตถุกาม ที่ส่งผลให้จิตใจของคนเราอยู่ภายใต้อำนาจกิเลสกามที่ร้อนแรงในกระแสวัตถุนิยมยุคไอที จึงยากที่จะรู้ชัดในสิ่งที่เป็นประโยชน์และความเหมาะสม ทั้งนี้ ด้วยความอ่อนแอของจิตที่ขาดสติและปัญญา เราจึงเห็นความโกลาหลเกิดขึ้นในสังคม แม้ในบ้านเรา ดังปรากฏการชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองที่จัดในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จนมีข่าวแพร่สะพัดไปทั่ว ในการที่มีบางบุคคล .. บางคณะจัดกิจกรรมกระทบต่อจิตใจประชาชนส่วนใหญ่ที่รักเทิดทูนสถาบันและประเทศชาติ จนก่อเกิดกระแสต่อต้านขึ้นทั่วแผ่นดิน ดังปรากฏในสื่อออนไลน์
จริงๆ แล้ว สถานการณ์ดังกล่าวในสังคมแบบนี้ของยุคโลกาภิวัตน์ นับว่าไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาด มหัศจรรย์พันลึก รับไม่ได้ ด้วยเป็นภาวะปกติอันหนึ่งที่สะท้อนออกมาจากความเป็นธรรมดาของสังคมแบบนี้ ซึ่งเราท่านทั้งหลายควรเปิดตาดู เปิดหูฟัง และเปิดจิตรับรู้อย่างมีสติปัญญา เพื่อไม่เสพความวิปลาสในสัญญา (ข้อมูล) จนก่อเกิดความวิปลาสในเรื่องจิตและทิฐิ (ความเห็น) .. จนก่อเกิดความวิปลาสแพร่ระบาดไปทั่วในทุกฝักฝ่ายของหมู่ชนที่อาจจะชักนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมือง สังคม ประเทศชาติ ได้...
จึงควรรู้ให้ชัด.. เห็นให้จริง.. และนำมาพิจารณาใคร่ครวญอย่างถูกวิธี.. มีระเบียบแบบแผน อย่างเป็นเหตุเป็นผล .. เป็นกุศล เพื่อสรุปเนื้อหาสาระให้ชัดเจน จะได้ประเมินได้ว่า.. มีประโยชน์หรือไม่.. เหมาะสม.. เหมาะควรหรือยัง...
หากไม่เหมาะสม ไม่เหมาะควร.. ในสิ่งนั้น แม้มีประโยชน์ก็ให้ตัดทิ้งไป .. ไม่ต้องนึกถึงความไร้ประโยชน์ .. ให้เสียเวลาในชีวิตเล่น..
เราจึงควรช่วยกันปลุกเร้ากระตุ้นเตือน ให้สังคมโดยรวมตื่นขึ้นมาอย่างมีสติปัญญา.. เพื่อสังคมประเทศชาติที่เข้มแข็ง รองรับความมั่นคงที่ควรช่วยรักษาสืบไปเบื้องหน้า.. ..อย่าได้วิปลาสไปตามกระแสวิปลาส ..อย่าได้วิบัติไปตามกระแสวิบัติ .. จนที่สุด มารู้สึกตัวกันอีกทีก็สายเสียแล้วต่อการส่งสืบต่อสังคมประเทศชาติ ที่บรรพชนอุตส่าห์เสียสละชีวิตปกป้องรักษาผืนแผ่นดินให้สืบเนื่องมาจนถึงเราทั้งหลาย ได้อยู่อาศัยด้วยความภาคภูมิใจในความเป็น .. ราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ที่ชาวไทยควรเทิดทูนบูชา...
เจริญพร