ทำไมถึงคนจีนหลายๆคนถึงอยากให้ทรัมป์อยู่ต่ออีก 4 ปี
หากมองย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้วตอนปี 2016 ตอนการเลือกตั้งประธานาธิบดี ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ กับ ฮิลลารี คลินตัน
รัฐบาลจีนได้เตรียมแผนรับมือกับทางฮิลลารีไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะเขาคาดการณ์ว่าฮิลลารีจะชนะการเลือกตั้งในครั้งนั้น ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายที่โดนัลด์ ทรัมป์ชนะประธานาธิบดีในครั้งนั้น เมื่อผ่านไป 4 ปีหลังจากเขาได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ทรัมป์ได้เปิดศึกสงครามการค้ากับทางจีนมาโดยตลอด นี่ยังไม่รวมถึงการตัดขาฝั่งจีนหลายๆอย่างทั้งการแบนแอพอย่าง Tik Tok กับ WeChat ในตอนนี้ที่สหรัฐ และการแบนบริษัทสมาร์ทโฟนของจีนอย่าง หัวเว่ย ซึ่งได้สร้างความบาดหมางระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก ยิ่งล่าสุดในการบีบให้ Tik Tok ต้องขายแอพในภูมิภาคอเมริกาเหนือให้กับบริษัทที่อเมริกา จนทำให้ทาง CEO ที่พึ่งแต่งตั้งล่าสุดของ Tik Tok อย่าง เควิน เมเยอร์ ต้องลาออกแบบฟ้าผ่า ทั้งที่พึ่งแต่งตั้งได้เพียงไม่ถึง 3 เดือนด้วยซ้ำ
แต่ก่อนอื่นเราต้องกลับมามองที่มุมมองของคนจีนก่อนนะครับ สมัยก่อนคนจีนเองอาจจะไม่ชอบรัฐบาลตัวเอง ที่กีดกันบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Facebook กับ Google เข้ามาทำตลาดในประเทศจีน แต่หลังจากที่ทรัมป์ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี เขาได้ทำให้หลายๆประเทศในฝั่งตะวันตกรู้สึกกังขาและผิดหวังกับสิ่งที่อเมริกาทำมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สัมพันธภาพกับฝั่งตะวันตกลดลง และทรัมป์เองก็ไม่ได้เพิ่มสัมพันธภาพกับประเทศพันมิตรในแทบเอเชียอย่าง เกาหลี กับ ญี่ปุ่น อีกด้วย นอกจากนั้นสิ่งที่รัฐบาลของทรัมป์ทำยังทำให้ทั้งโลกสงสัยว่า ทรัมป์เป็นผู้นำที่เหมาะสมกับทางสหรัฐหรือไม่ ตั้งแต่การถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลกกลางคันในช่วงที่องค์การจำเป็นที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือและเยียวยามากที่สุด การที่เขาถอนตัวออกจาก Trans-Pacific Partnership ทำให้สัมพันธภาพกับประเทศในแปซิฟิกลดลง อย่าง ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ การที่เขาข่มขู่ผู้นำฝั่งยุโรปเป็นการส่วนตัวจากทั้งการให้ตอบคำถามจากสื่อมวลชนและการที่เขาได้ทวีตลงไปในทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขา การที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ NATO ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลกระทบกับสหรัฐอเมริกามากกว่าที่เกิดขึ้นกับจีน และเขาได้สร้างความเกลียดชังในหมู่คนจีนมากยิ่งขึ้น ทำให้คนทั้งประเทศจีนผนึกกำลังกันเพื่อต่อต้านอเมริกา คนจึงชอบรัฐบาลของ สี จิ้นผิง มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพวกเขาคิดว่ามันทำให้จีนมีอำนาจในการต่อรองกับฝั่งตะวันตกมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งนั่นทำให้จีนเริ่มมีช่องทางในยุโรปมากขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้ประเทศจีนมีอิทธิพลเหนือทวีปแอฟริกา และ เอเชียอยู่แล้วด้วย ดังนั้น หลายๆคนจึงอยากได้ทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดีต่ออีก 4 ปี เพราะว่ามันอาจจะทำให้จีนมีอิทธิพลกับโลกได้มากยิ่งขึ้น และ เผลอๆอาจจะทำให้จีนชนะสงครามเย็นในครั้งนี้ได้ด้วยซ้ำ
แต่ถ้าโจ ไบเดนได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีเขาอาจจะผนึกกำลังกับทางฝั่งยุโรปมากขึ้นเพื่อมาต่อกรกับประเทศจีน จะทำให้จีนลำบากมากขึ้นในการเป็นผู้นำของโลกในอนาคต เพราะตั้งแต่ที่ไบเดนได้ขึ้นมาเป็นผู้สมัครชิงประธานาธิบดี เขาได้ต่อกรกับทางรัฐบาลจีนและ สี จิ้นผิง มากขึ้น โดยเริ่มจากเรียกการกระทำของสี จิ้นผิง ว่าเหมือน “นักเลง” กับสิ่งที่สีได้ทำกับชาวฮ่องกง และ การจับขังชาวอุยกูร์เป็นจำนวนมากที่ฝั่งตะวันตกของเขตปกครองตนเองในมณฑลซินเจียง นอกจากนั้นเองฝั่งเดโมแครตที่เป็นพรรคของไบเด็น ได้ส่งเสริมให้ร่างกฏหมายใหม่กับทางฮ่องกง และส่งกองกำลังทหารมาช่วยเหลือประเทศไต้หวันอีกด้วย ทำให้ลดความได้เปรียบของทางประเทศจีนลง แต่ข้อดีของทางไบเดนก็คือ ถ้าเขาได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี เราอาจจะเห็นสหรัฐกลับเข้าสู่ความตกลงปารีส (Paris Agreement) การทำให้องค์การการค้าโลกเสมอภาคมากยิ่งขึ้น และ การอาจจะกลับเข้าไปเข้าร่วม Trans-Pacific Partnership (TPP) ที่ตอนนี้ที่ไทยเข้าร่วมชื่อใหม่ที่ชื่อว่า CPTPP โลกในอนาคตอาจจะไม่หม่นหมองเหมือนที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็เป็นได้
อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้คนจีนอยากได้ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีอีก 4 ปี คือ รัฐบาลจีนมองว่าตัวทรัมป์เอง “อ่านง่าย” จากการที่เขาชอบเปิดเผยความคิดของเขาในทวิตเตอร์ จึงทำให้ง่ายต่อการที่ประเทศจีนจะต่อกรกับเขา ซึ่งในหนังสือล่าสุดของคุณ จอห์น โบลตัน ที่เคยเป็นอดีตที่ปรึกษาทางความมั่นคงของทรัมป์ จอห์นบอกว่าตอนทรัมป์ร่วมทานอาหารค่ำกับ สี จิ้นผิง ที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ทรัมป์บอกกับสี จิ้นผิง ว่าการสร้างที่กักกันชาวอุยกูร์ในเมืองปักกิ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และตอนที่เกิดการประท้วงที่ฮ่องกงตอนแรกทรัมป์ออกมาชื่นชมความพยายามของชาวฮ่องกงที่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพของพวกเขา แต่ตอนหลังเขาก็หันมาสนับสนุนรัฐบาลจีนแทน ซึ่งถ้าเรามองตลอด 4 ปีที่ผ่านมาของทรัมป์เราจะเห็นว่าเขาเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เกือบตลอดเวลา ซึ่งไม่เหมือนกับโจ ไบเดน ที่มีความชัดเจนกับสิ่งที่เขาจะทำมากกว่าโดนัลด์ ทรัมป์เป็นอย่างมาก ยังไงก็แล้วแต่ อีก 52 วันหลังจากนี้ ไม่ว่าใครจะขึ้นไปเป็นประธานาธิบดีคนถัดไปของสหรัฐอเมริกา ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐยังไงก็สูงขึ้นอย่างแน่นอน
โดย... ทิวัตถ์ ชุติภัทร์