อนาคตของประเทศไทย

อนาคตของประเทศไทย

เมื่อคืนและจนถึงนาทีที่กำลังเขียนบทความนี้ คือเช้าวันที่ 17 ต.ค.2563 ผมกำลังนั่ง “ร้องให้”

จากเหตุการณ์ “น่าเศร้า” ของการเมืองในประเทศไทยที่กำลังเกิดขึ้น 

 ที่จริงผมเคยร้องให้แบบนี้มาอย่างน้อยครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ที่เกิดเหตุการณ์  “มหาวิปโยค” ในวันนั้นผมกำลังนั่งอยู่บนรถเมล์เพื่อที่จะกลับบ้าน  คนทั้งคันรถต่างก็ร้องให้  ผมจำได้ว่าควักเงินที่มีอยู่น้อยนิดใส่ลงในกล่องที่มีคนเดินขอรับบริจาค  นั่นเป็นเวลา 47 ปีมาแล้วและผมอายุ 20 ปี เรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 ในมหาวิทยาลัย  ในช่วงนั้น เหตุการณ์ต้องบอกว่ารุนแรงกว่าครั้งนี้มาก  มีคนตายและบาดเจ็บจำนวนมาก  หลังจากเหตุการณ์  บ้านเมืองก็  “เปลี่ยน” กลายเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยมากขึ้น  แต่ก็เป็นแค่ช่วงสั้น ๆ  หลังจากนั้น  ประเทศไทยก็มีการปกครองแบบ  “ลุ่ม ๆ ดอน ๆ” มาตลอดจนถึงทุกวันนี้  แต่ทางด้านสังคมนั้น  คนไทยก็พัฒนามาเรื่อย ๆ  ตามการเปลี่ยนแปลงของโลกและการพัฒนาการทางเศรษฐกิจของไทย

            ทางด้านเศรษฐกิจนั้น  ต้องบอกว่าเราทำได้ดีมากจนถึงวันนี้  เราใกล้จะถึงจุดที่มีรายได้สูงพอที่จะเป็นประเทศร่ำรวยแล้ว  ทางด้านสังคมนั้น  ก็ต้องบอกว่าสังคมไทยมีความก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย  เรามีแนวความคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพในการทำอะไรหลาย ๆ  อย่างได้ตามสถานะทางเศรษฐกิจ  คนคิดว่าเพศสภาพนั้นเป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะเลือกได้และทุกคนต่างก็ยอมรับ  การนับถือศาสนานั้นก็เปิดกว้าง  และแม้ว่าเรายังมีกฎหมายที่ห้ามกิจกรรมหลายอย่างเช่น  การขายบริการทางเพศ  แต่ในทางปฏิบัติจริงทุกคนก็รับรู้ว่าสามารถทำได้  เพียงแต่อาจจะต้องมี “ต้นทุน”  บางอย่างเพิ่มขึ้นเท่านั้น  สรุปก็คือ  เรื่องของเศรษฐกิจและสังคมนั้น  ประเทศไทยมีการพัฒนาค่อนข้างจะสอดคล้องกับระดับการพัฒนาของประเทศ  แต่ทางด้านของการเมืองนั้น  ไทยยัง  “ล้าหลัง” มาก  ซึ่งในความคิดของผมแล้ว  ภาวะแบบนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ  เพราะจากการสังเกตของผม  ในประเทศหรือสังคมนั้น  โดยปกติแล้ว  การพัฒนาทุกอย่างมักจะต้อง “ไปด้วยกัน”  และเราแทบสังเกตได้เพียงแต่แค่ไปเยี่ยมเยือนประเทศเหล่านั้น  เราก็พอจะมองออกว่าเขาพัฒนาไปไกลแค่ไหน

          เริ่มตั้งแต่ถนนหนทางและตึกรามบ้านช่อง  ความสะอาดของสถานที่  คุณภาพของบริการและการต้อนรับ อาหารที่ขาย  คุณภาพของบริการสาธารณะเช่นรถเมล์  แท็กซี่ และรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดิน  ในด้านของสังคมก็ดูถึงผู้คนว่ามีความคิดและมุมมองอย่างไร  เคารพสิทธิและความคิดของคนอื่นแค่ไหน  และแน่นอนว่าระบบการเมืองการปกครองเองนั้นก็มักจะบอกถึง “ระดับ” ของการพัฒนาของประเทศ ซึ่งในปัจจุบันนั้น  การเป็น “ประชาธิปไตย” ซึ่งก็มักจะส่งผลต่อระดับของการคอร์รัปชั่นว่าประเทศมีมากน้อยแค่ไหน ก็เป็นตัววัดที่สำคัญอย่างหนึ่ง  เช่น  ถ้าประเทศเป็นประเทศ “พัฒนาแล้ว” ประเทศนั้นก็มักจะต้องเป็นประเทศที่ใช้ระบบ “ประชาธิปไตยที่แท้จริง”  ไม่มีประเทศไหนที่พัฒนาแล้วแต่ใช้ระบบ “เผด็จการ” และถ้าประเทศไหนที่เคยเป็นประเทศกำลังพัฒนาและเป็นเผด็จการมาก่อน เช่น  เกาหลีใต้ เมื่อ 30 ปีก่อน  แต่ตอนนี้กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว  เขาก็กลายเป็นประเทศประชาธิปไตยอย่างแท้จริงอย่างทุกวันนี้

            เหตุผลที่ว่าทำไมระดับการพัฒนาของประเทศจึงมาเกี่ยวกับระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้นน่าจะมีมากมาย  แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดก็คือ  เวลาที่คนรวยขึ้น  มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้ว สิ่งที่เขาต้องการต่อไปก็คือ  เขาอยากจะมี “ศักดิ์ศรีของความเป็นคน” มากขึ้นและเท่าเทียมกับคนอื่น ๆ  ในทุกด้าน  และถ้าสังคมไม่สามารถให้เขาได้  เขาก็จะเรียกร้องและต่อสู้เพื่อให้ได้มา  ดังนั้น  เมื่อมาถึงจุดหนึ่งที่  คนส่วนใหญ่มีรายได้สูงพอก็จะออกมาเรียกร้องและก็ “ชนะ” ในที่สุด  และนั่นก็ส่งผลให้คนทุกคนในประเทศหรือในสังคมนั้นต่างก็ได้อานิสงค์  คือถึงยังมีรายได้ต่ำก็จะมีสิทธิมีเสียงเท่า ๆ  กับคนอื่นทุกคน  และนี่ก็คือระบอบประชาธิปไตยที่จะไม่มีใครมีสิทธิเหนือกว่าคนอื่น  ทุกคนจะมี 1 เสียงเท่ากันเวลาจะตัดสินอะไรต่าง ๆ  ของสังคมหรือของประเทศ

            ข้อสรุปของผมก็คือ  “อนาคตของประเทศไทย” นั้น  ถ้าเราจะพัฒนาต่อไปได้จนกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว  สิ่งหนึ่งที่จะต้องเกิดขึ้นก็น่าจะเป็นว่าเราต้องเป็นประเทศที่ใช้ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง  แต่ถ้าเราไม่สามารถที่จะพัฒนาต่อไปได้แล้ว  ประเด็นก็จะเป็นอย่างอื่น  แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ผมเองก็คิดว่าด้วย “ระดับความเป็นประชาธิปไตย” ในปัจจุบันที่ยังต่ำกว่าระดับของการพัฒนาประเทศทางด้านเศรษฐกิจและสังคม  ก็มีความเป็นไปได้ว่า  ประชาธิปไตยของไทยก็จะต้องมีการ “ยกระดับขึ้น”  และด้วยอิทธิพลของ “สื่อยุคใหม่” ก็น่าจะช่วยให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้เร่งตัวเร็วขึ้นมากอย่างที่ดูเหมือนว่ากำลังจะเกิดขึ้นในช่วงเร็ว ๆ  นี้

            การเป็นประชาธิปไตยนั้นเกิดขึ้นตามการพัฒนาทางเศรษฐกิจ  แต่ในทางกลับกัน  ผมก็คิดว่าการพัฒนาการทางเศรษฐกิจเองก็อาจจะดีขึ้นหรือเร่งตัวขึ้นได้จากการที่ประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น  เหตุผลนั้นคงมีมากมาย  แต่เหตุผลที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ  การเป็นประชาธิปไตยนั้น  จะช่วย “ปลดปล่อยศักยภาพของคน” ออกมาได้เต็มที่  เพราะคนจะรู้สึกและมีแรงกระตุ้นที่จะทำงานและสร้างผลงานที่เป็นตัวตนของตนเอง  ไม่ถูก “กดทับ” โดยกฎหมายหรือสังคมที่ไม่เท่าเทียมกัน  นอกจากนั้น  ค่าที่ว่าประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ใช้ระบอบการปกครองแบบนี้  ดังนั้น  การที่ใช้ระบบเดียวกันย่อมทำให้เป็นที่ต้อนรับมากว่าในด้านของการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

            อาจจะมีข้อถกเถียงว่าทำไมประเทศอย่างจีน  และอาจจะรวมถึงเวียตนามที่ใช้ระบอบการปกครองอื่นจึงเจริญเติบโตเร็วมากได้  ประเด็นนี้ผมขอเถียงว่าที่เขาเติบโตเร็วทางเศรษฐกิจนั้นเป็นเพราะปัจจัยทางด้านอื่น  โดยเฉพาะในด้านคุณภาพและกำลังแรงงานของคนมากกว่า  ที่จริงถ้าเขาเป็นประชาธิปไตยอาจจะยิ่งโตเร็วกว่านี้  และไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ผมเองคิดว่า  ในที่สุดเมื่อรายได้ต่อหัวของคนมากขึ้นเรื่อย ๆ  จนกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว  ผมคิดว่าจีนและเวียตนามก็จะต้องเป็นประชาธิปไตย  แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์ที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถคุมประเทศได้เมื่อคนทั้งประเทศไม่ต้องการ

          การที่ผม “ร้องไห้” นั้น  ไม่ใช่เพราะผมรู้สึกว่าผู้ประท้วงเป็นฝ่าย “พ่ายแพ้” การเมืองเป็นเรื่องระยะยาวที่ต้องใช้เวลาและผมก็ผ่านเวลามามาก  ผมรู้ว่าการเมืองก็คล้าย ๆ  กับสงคราม  มี “ศึก” หรือ “สนามรบ” นับไม่ถ้วน  บางทีการพ่ายแพ้ในศึกหนึ่งอาจจะนำไปสู่ชัยชนะได้ง่ายขึ้น  โดยเฉพาะการเมืองนั้น  สนามรบที่แท้จริงกลับอยู่ในหัวหรือจิตใจของคน  การพ่ายแพ้หรือชนะทางการเมืองนั้น  ที่แท้จริงก็คือต้องดูว่า “คนจะเปลี่ยนไปอยู่ฝ่ายไหนมากขึ้น” ไม่ใช่สงครามที่จะต้องทำลายศัตรูให้ย่อยยับหรือจับเป็นเชลยได้มากกว่า  แต่ที่ผมร้องไห้นั้นคงเป็นเพราะสื่อที่นำเสนอที่ทำให้เราเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและมันประทับเข้าไปอยู่ในใจ  ผมเองคิดว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่ร้องไห้  แม้แต่คนที่เป็นอนุรักษ์นิยมหลาย ๆ  คนรุ่นราวคราวเดียวกับผมก็ร้องไห้เมื่อเห็นเด็กที่ยังแต่งเครื่องแบบนักเรียนที่ไม่ได้มีหรือสร้างความรุนแรงใด ๆ ถูกกระทำโดยไม่มีเหตุผลและไม่มีความปราณี  ผมไม่รู้ว่าจะต้องร้องไห้ไปอีกกี่ครั้งก่อนที่ศึกครั้งนี้จะจบ

            สภาวะการเมืองในช่วงเร็ว ๆ  นี้  อาจจะกลายเป็น “Country Risk” หรือ “ความเสี่ยงของประเทศ” ในเรื่องของการลงทุนถ้ามันยังลุกลามต่อไป  สื่อหลัก ๆ ของต่างประเทศต่างก็รายงานข่าวเป็นข่าวใหญ่และ “ข่าวด่วน” บางทีอาจจะมากกว่าข่าวจาก  “สื่อรุ่นเก่า” ของประเทศไทยด้วยซ้ำ  ข่าวที่กระจายไปทั่วโลกนั้นย่อมทำให้นักลงทุนจากต่างประเทศชะลอหรือขายเงินลงทุนในประเทศไทยออกไปซึ่งจะกระทบทั้งตลาดหุ้นและพันธบัตรรวมถึงการลงทุนโดยตรง  ส่งผลให้ราคาหลักทรัพย์ตกลงมาและเศรษฐกิจตกต่ำลงซ้ำเติมจากที่เป็นอยู่แล้วเนื่องจากวิกฤติโควิด-19

            แต่โดยส่วนตัวผมเองก็ไม่ได้ทำอะไรกับพอร์ตของตนเอง  ผมคิดว่าราคาหุ้นมันลงมามากแล้ว  “ขายไม่ลง”  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ขายไปก็ต้องเก็บเป็นเงินสดที่ไม่ได้ผลตอบแทนอะไรและมีความเสี่ยงเหมือนกันถ้าประเทศเป็นอะไรไป  เงินสดก็อาจจะหมดค่าเหมือนกันเพราะแท้จริงมันเป็นแค่กระดาษ  เทียบกับหุ้นที่เป็นกิจการและโรงงานการผลิตต่าง ๆ  ที่ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นของสังคม  นอกจากนั้นแล้ว  ลึก ๆ ผมเองก็ยังมีความหวังหรือความฝันว่าเรา “แย่ที่สุด” แล้ว  รอไปอีกสักพัก  สิ่งต่าง ๆ  ก็อาจจะดีขึ้นได้  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ผมเห็นพลังและความมุ่งมั่นของคนรุ่นใหม่ที่พร้อมที่จะนำพาสังคมไทยไปสู่โลกที่ดีกว่า  และผมจะรอ  เวลาอยู่ข้างพวกเขา  หน้าที่ผมก็คือ  มีชีวิตให้ยาวพอที่จะเห็นสังคมที่ก้าวหน้า  เสมอภาคและ  ภราดรภาพ ในประเทศไทย