พิชิตอุปสรรคด้วยการคิดบวก
การไม่สนใจอดีตทำให้เราตั้งมั่นทุ่มเททำวันนี้ให้ดีที่สุด
การก้าวข้ามความคิดเชิงลบ เพื่อเปลี่ยนตัวเองให้มองทุกสิ่งรอบตัวเป็นเชิงบวก เป็นทักษะสำคัญที่ทำให้เราใช้ชีวิตได้ดีขึ้นทั้งในแง่การทำงาน และการใช้ชีวิตส่วนตัว ซึ่งเกริ่นไว้ใน “Think out of The Box” ฉบับที่แล้ว 2 ข้อด้วยกัน คือ การเริ่มต้นวันใหม่ด้วยความเชื่อมั่นว่าเป็นวันที่ดีเสมอ และรู้จักบันทึกเรื่องราวแต่ละวัน เพื่อทบทวนสิ่งที่ทำลงไปในแต่ละวัน
ต่อกันในข้อที่ 3 ต้องรู้จักขอบคุณทุกคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครู อาจารย์ ฯลฯ โดยเฉพาะพ่อแม่ซึ่งเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่ยังเล็ก เราสามารถตอบแทนพระคุณได้ง่ายๆ เพียงถามไถ่ทุกข์สุข และให้เวลาพูดคุยอยู่เป็นประจำ ซึ่งเพียงเท่านี้ก็สร้างความสุขและความสบายใจมากยิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทองใดๆ เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า ผู้บังคับบัญชา ที่ล้วนมีส่วนให้เราเติบโตในหน้าที่การงาน หากมีโอกาสแสดงความขอบคุณก็ควรทำทันที รวมถึงผู้คนรอบข้างที่ช่วยเหลือเราแม้เป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น ช่วยเปิดประตู ช่วยกดลิฟต์ ช่วยเก็บของให้ ฯลฯ
การหมั่นขอบคุณผู้อื่น หมายถึงความพึงพอใจที่เขาช่วยเหลือเราทุกเรื่อง เป็นการแสดงออกถึงความพึงพอใจ และเป็นการเห็นคุณค่าของสิ่งที่ผู้อื่นทำให้กับเราสะท้อนว่าเราเข้าใจในคุณค่าของชีวิต ทำให้จิตใจผ่อนคลาย และนอนหลับได้ง่ายกว่าคนทั่วไปเพราะไม่รู้สึกว่ามีอะไรติดค้าง
ข้อที่ 4 รู้จักวิเคราะห์จุดดีจุดเด่นตัวเอง ไม่ใช่ยกหางตัวเอง แต่เป็นการรู้จักตัวเองให้มากขึ้นว่า มีจุดเด่นเรื่องใดบ้าง และจุดเด่นเหล่านี้เอาไปช่วยเหลือใคร เอาไปทำประโยชน์ในด้านใดได้บ้าง หากเราไม่เคยวิเคราะห์ตัวเองก็จะไม่มีวันรู้ว่าเราสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างไรจนปล่อยให้โอกาสผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ตัวอย่างเช่น เราอาจมีจุดเด่นที่รู้จักรับฟังผู้อื่น นั้นหมายถึงเราอาจช่วยเหลือผู้อื่นได้ด้วยเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ดี และสามารถให้กำลังใจผู้อื่นได้ เมื่อมีโอกาสเราสามารถใช้จุดเด่นตัวเองให้เป็นประโยชน์ทันที ตรงกันข้ามกับบางคนที่อาจรู้จักรับฟังผู้อื่นเหมือนกัน แต่ไม่เคยตระหนักในคุณค่าเหล่านี้ของตัวเอง จึงปล่อยให้ผ่านเลยไปโดยไม่ได้ช่วยเหลือใครเลย
ข้อที่ 5 ต้องมีเป้าหมายในชีวิต และเป็นเป้าหมายที่ทำได้จริงไม่ใช่เพ้อฝัน หากเป้าหมายนั่นใหญ่เกินตัวต้องทำให้เล็กลง แล้วกำหนดเป็นเป้าหมายระยะต่างๆ นับจากอาทิตย์ไปเป็นเดือนและเป็นปี ยิ่งเราทำเป้าหมายแต่ละอาทิตย์เป็นจริงได้เท่าไร เป้าหมายรายเดือนก็อยู่ไม่ไกล และทำเป้าใหญ่ได้เมื่อครบปีแน่นอน การมีเป้าหมายทำให้เรารู้จักติดตามผลงานของตัวเอง รู้จักปรับปรุงตัวเองหากทำไม่ถึงเป้า และเป้าที่ไม่ใหญ่เกินไปจะทำให้เรารู้สึกพึงพอใจกับผลงานที่ได้รับ และมีกำลังใจที่จะทำเป้าหมายใหม่ที่ใหญ่ขึ้นในอนาคตให้สำเร็จ
ข้อที่ 6 อย่าวิ่งหนีปัญหาและความกดดัน เพราะการเผชิญหน้ากับปัญหาจะกระตุ้นให้รู้จักรับมือกับอย่างถูกวิธี แม้จะอึดอัด ไม่สบายใจที่ต้องเจอปัญหาต่างๆ แต่นั่นเป็นกระบวนการให้เรารู้จักคิดเพื่อหาทางเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ยิ่งเราสามารถแก้ปัญหาที่เคยวิตกกังวลมาก่อนได้มากเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้เรากล้ารับความท้าทายมากขึ้นเท่านั้น เพราะการเอาชนะความกลัวได้จะยิ่งทำให้เรามองเห็นวิธีเอาชนะมันได้และไม่หวั่นเมื่อต้องเจอปัญหาแบบนี้อีกในอนาคต
ข้อที่ 7 พอใจกับทุกสิ่งในชีวิตแม้เป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะการมองเห็นทุกเรื่องที่ผ่านมาในชีวิตเป็นเรื่องดี ย่อมทำให้จิตใจเราคิดเรื่องบวกเพิ่มขึ้นตลอดเวลา แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนเราก็สามารถชื่นชมและมีความสุขกับมันได้
ข้อที่ 8 ไม่ยึดติดกับอดีต ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลวที่เคยเกิดขึ้น ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นแบบเดิมอีกในอนาคต หากเราเคยมีประสบการณ์แย่ ๆ ที่เกิดจากความล้มเหลวในอดีตก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องเกิดขึ้นอีกในอนาคต เช่นเดียวกับความสำเร็จที่เคยมีก็ไม่รับประกันว่าจะสำเร็จได้อีกตลอดไป
การไม่สนใจอดีตทำให้เราตั้งมั่นทุ่มเททำวันนี้ให้ดีที่สุด ความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจึงขึ้นอยู่กับตัวเราเองล้วน ๆ ซึ่งความคิดบวกจะเป็นต้นกำเนิดของความคิดที่จะเอาชนะปัญหาต่าง ๆ และทำให้เราไปถึงเป้าหมายที่ต้องการในท้ายที่สุดได้เสมอ