เมื่อการเมืองสร้างริ้วรอยให้กับเศรษฐกิจของเมียนมา

เมื่อการเมืองสร้างริ้วรอยให้กับเศรษฐกิจของเมียนมา

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากความไม่สงบทางการเมืองในเมียนมา ถูกสะท้อนผ่าน ค่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ตกลงมาเหลือ 27.7 จุด 

ค่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Managers' Index หรือ PMI) เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตกลงมาเหลือ 27.7 จุด  ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลชุดนี้ในเมียนมา  แม้ว่าในปีก่อนค่า PMI เคยตกลงมาค่อนข้างแรงสองครั้งจากการระบาดของโควิด  แต่ก็มีการฟื้นตัวกลับมาค่อนข้างเร็ว  ซึ่งต่างจากการตกลงครั้งนี้ที่ไม่แน่ใจว่าจะลากยาวไปจนถึงเมื่อไหร่

          ค่า PMI เป็นดัชนีที่คำนวณจากข้อมูลยอดสั่งซื้อใหม่ ปริมาณสินค้าคงคลัง สายการผลิต การส่งสินค้า และการจ้างงาน  เป็นเครื่องมือสะท้อนภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่นิยมใช้กันมากเพราะสามารถจัดเก็บข้อมูลได้รวดเร็ว  และสามารถชี้ทิศทางการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจในระยะสั้นถึงระยะกลางได้ค่อนข้างดี 

          การที่ค่า PMI ของเมียนมาตกลงและอาจจะลากยาวไปแบบนี้อีกสักพักใหญ่เกิดจากหลายเหตุปัจจัยด้วยกัน  ไม่ว่าจะเป็นความไม่สงบภายในประเทศ  แนวโน้มที่ประเทศต่าง ๆ จะใช้มาตรการทางการค้ากดดันกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับการก่อรัฐประหาร  รวมถึงการที่บริษัทต่างชาติที่ไปลงทุนในเมียนมาถูกผู้ประท้วงต่อต้านทั้งในระดับเบาด้วยการระบายความไม่พอใจด้วยคำพูดจนถึงการแสดงออกอย่างรุนแรงด้วยการทำลายทรัพย์สินของบริษัท 

           กรณีที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนบริษัทต่างชาติมากที่สุดน่าจะเป็นการที่ประท้วง         กว่า 2,000 คนปิดเส้นทางไม่ให้รถดับเพลิงเข้าไปยังเขตอุตสาหกรรมเพื่อดับไฟที่เกิดจากการวางเพลิง         ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์เดอะโกลบอลไทมส์ของจีนรายงานว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้โรงงานที่มีนักธุรกิจจีนเป็นหุ้นส่วนได้รับความเสียหายจำนวน 32 แห่ง  คิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 36.89 ล้านเหรียญสหรัฐ มีชาวจีนได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้จำนวนหนึ่ง  ทิศทางความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมยิ่งทำให้มีความกังวลกันว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นอีก

          แม้ว่ามูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจะไม่มากนักเมื่อเทียบกับมูลค่าการลงทุนทั้งหมดของจีน         ในเมียนมา  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนต้องยกระดับความเสี่ยงในการทำธุรกิจ        ในประเทศนี้ให้สูงขึ้นไปอีก  สำหรับบริษัทที่มีเป้าหมายในการลงทุนเพื่อใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ  ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้อาจส่งผลให้ต้องชะลอการลงทุนจนกว่าทิศทางทางการเมืองภายในประเทศจะมีความชัดเจนเสียก่อน  แล้วค่อยกลับมาลงทุนใหม่  หรือถึงไม่กลับมาก็จะมีบริษัทอื่นที่รอหาโอกาสเข้ามาแทน  ผลกระทบในระยะยาวจึงไม่รุนแรงนัก

           ด้านแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน  แม้ว่าในท้ายที่สุดแล้วผลการประท้วงจะออกมาอย่างไรโครงการเหล่านี้ก็ต้องเดินหน้าต่อไป  ยิ่งไปกว่านั้นการเดินหน้าที่ช้ากว่ากำหนดย่อมลดทอนความสามารถในการแข่งขันของประเทศเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านและประเทศคู่แข่ง  นอกจากนี้แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปบวกกันความเสี่ยงทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นย่อมทำให้ต้นทุนในการก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้นไปอีก  เมื่อคุ้มค่าน้อยลงแต่ค่าใช้จ่ายมากขึ้น  ภาษีที่จะได้จากบริษัทต่างชาติซึ่งเข้ามาลงทุนในจุดที่มีโครงสร้างพื้นฐานดีย่อมลดลงตามไปด้วย  บางโครงการที่เคยคุ้มค่าก็อาจกลายเป็นโครงการที่ไม่เหมาะสมอีกต่อไป 

          การขาดโครงสร้างพื้นฐานบวกกับความไม่แน่นอนทางการเมือง  โดยเฉพาะความเสี่ยงจะโดนลูกหลงจากการประท้วงจนบริษัทเสียหาย เช่น กรณีของบริษัทจีน  ย่อมส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบริษัทต่างชาติที่ต้องการใช้เมียนมาเป็นฐานในการผลิตเพื่อส่งออกและขายภายในประเทศ  เพราะนอกจากจะได้รับผลกระทบจากการที่ประเทศต่าง ๆ ใช้มาตรการทางเศรษฐกิจกดดันแล้ว  ภาพลักษณ์ของบริษัทจะได้รับผลกระทบเช่นกัน  ซึ่งผลกระทบนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะสินค้าที่ผลิตในเมียนมา  สินค้าของบริษัทเดียวกันที่ผลิตในประเทศอื่นอาจโดนลูกค้าต่อต้านไปด้วย 

          นอกจากผลกระทบต่อเศรษฐกิจผ่านการค้าและการลงทุนแล้ว  ผลกระทบทางอ้อมที่อาจจะเกิดจาก    การแพร่ระบาดของโควิด-19  ในช่วงที่กลุ่มการเมืองต่อสู้กันทำให้การป้องกันการแพร่ระบาดทำได้ยากขึ้น  การเจ็บป่วยของประชากรย่อมทำให้เกิดการสูญเสียกำลังคนที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ 

          หากจะว่าไปแล้ว  เศรษฐกิจของเมียนมาเพิ่งจะเริ่มเชิดหัวขึ้นได้แค่สิบกว่าปี  ประชาชนและรัฐบาลเริ่มได้รับประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ  ช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนบางกลุ่มให้ดีขึ้น  หลายพื้นที่เริ่มมีการพัฒนาเป็นรูปธรรม  แม้ว่าเป็นการพัฒนาแบบเฉพาะกลุ่มและเฉพาะจุด  อย่างน้อยก็เป็นทิศทางที่ดีของประเทศ 

          ความไม่สงบทางการเมืองที่เกิดขึ้น  เปรียบได้กับค้อนอันใหญ่ที่ทุบฟาดเศรษฐกิจของประเทศให้ทรุดลงไป  หากความไม่สงบนี้ยังไม่จบลงโดยเร็วด้วยวิธีที่เหมาะสม  บางทีประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่สะสมมาตลอดสิบกว่าปีนี้อาจจะหายไปหมด  ทิ้งไว้แค่บาดแผลที่ไม่อาจเยียวยาให้หายไปได้ในเร็ววัน.