เจ็บแล้วต้องจำ! แผลเป็นจากจำนำข้าว

เจ็บแล้วต้องจำ! แผลเป็นจากจำนำข้าว

จะครบ 10 ปีในปีหน้า ความสูญเสียที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2555  และการสะสางชำระความผิดที่ยังค้างคาอยู่เนื่องจากนโยบายจำนำข้าวของพรรคการเมืองหนึ่ง

จะครบ  10  ปีในปีหน้า ความสูญเสียที่ดำเนินมาตั้งแต่  พ.ศ. 2555  และการสะสางชำระความผิดพลาดทั้งเป็นเม็ดเงินและไม่ใช่เม็ดเงินที่ยังค้างคาอยู่เนื่องจากนโยบายจำนำข้าวของพรรคการเมืองหนึ่งที่ได้ชัยชนะถล่มทลายในการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย 

บทเรียนสำคัญยิ่งคือ จะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก และ/หรือสกัดกั้นความสูญเสียที่เมื่อเริ่มเกิดขึ้นแล้วในนโยบายสาธารณะของรัฐบาลจะต้องไม่ดำเนินต่อจนลุกลามใหญ่โตได้อย่างไร

การมานั่งติดตามหาผู้รับผิดชอบความสูญเสียของสังคมในภายหลังเอากับนักการเมืองและข้าราชการประจำตลอดจนบุคคลอื่นๆ ด้วยวิธีทางศาล  ล้วนแต่เป็นการตรวจสอบ "ปลายน้ำ"ทั้งนั้น  

อย่างเช่นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ตัดสินไปแล้วหลายคดี  พิพากษาจำคุก  จ่ายค่าปรับและฟ้องทางแพ่งยึดทรัพย์กันไปแล้วบ้างก็มี  โดยทรัพย์ได้คืนมานั้นมีค่าเพียง "แมวดม" เมื่อเทียบกับความสูญเสียทางเม็ดเงินที่เกิดขึ้นกับสังคม 

เท่าที่ผ่านมาเรามีแนวโน้มจะเชื่อว่าเมื่อมาถึงตรงนี้จะไม่ค่อยมีพลาดแล้วเพราะเป็นการตรวจสอบจากฝ่ายการเมืองผ่านองค์กรอิสระคือ ปปช.

 อย่างไรก็ดี   ล่าสุดก็คือศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ ๒ เมษาได้เพิกถอนคำสั่งของกระทรวงการคลังที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน  35,000 ล้านบาท  จากเหตุขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติและปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการตามอำนาจหน้าที่  เป็นเหตุให้กระทรวงการคลังได้รับความเสียหาย

เท่ากับว่าจะต้องเป็นคดีความยืดเยื้อต่อไปอีกเนื่องจากรัฐบาลสามารถอุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุดได้   คดียังไม่สิ้นสุด  แต่ก็จะไม่สำคัญอะไรนักเรื่องทรัพย์ "แมวดม"ที่ยึดไปไม่ถึง 100   ล้านบาทนี้  

ที่สำคัญกว่าคือคำตัดสินคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการจำนำข้าว ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อ ปี  2560  ยังมีผลอยู่ตามนั้น  ที่พิพากษาจำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์  5  ปี มติเอกฉันท์ไม่รอลงอาญา  

แต่ในเมื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์  หลบหนีลอยนวลอยู่นอกราชอาณาจักร   โทษจำคุกจึง (ยัง)เอื้อมไปไม่ถึง  หากติดตามเอาตัวมาได้จริง   ก็เป็นเรื่อง "ปลายน้ำ" อยู่นั่นเอง    

 "ต้นน้ำ" จริง ๆนั้นอยู่ที่ตั้งแต่การเป็นนโยบายของพรรคการเมืองโน่นแล้ว  เราขาดแคลนอย่างหนักการตรวจสอบนโยบายสาธารณะโดยภาคประชาชนภาคประชาสังคมที่เข้มแข็ง  เราคุ้นชินและฝากความหวังไว้แค่กับ (การเขียน)รัฐธรรมนูญ   ออกกฎหมาย   ตรวจสอบทางการเมืองผ่านการแถลงนโยบายทางรัฐสภา   ผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ   ตั้งคณะกรรมาธิการสอบ และตั้งกระทู้ถามในสภาซึ่งนับวัน   แทนที่จะเป็นการตรวจสอบจริง   ก็กลายรูปเป็นเกมหาเสียงหาช่องทางทำการอื่นของทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลยิ่งขึ้นทุกที      

น่าเสียดายพลังภาคประชาชนพอมีอยู่บ้างที่กล้าท้าทายกฎระเบียบการชุมนุมโดยเฉพาะจากหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ที่คนรุ่นใหญ่บางกลุ่มให้การสนับสนุน น่าจะเริ่มสร้างพลังไปในทางตรวจสอบนโยบายสาธารณะของรัฐบาลด้วย   แทนที่จะเน้นการตรวจสอบวิถีเดิมๆดังกล่าวอยู่ 

สังคมไทยต้องเริ่มตรวจสอบนโยบายสาธารณะของพรรคการเมืองและของรัฐบาลอย่างเข้มแข็งเข้มข้น  การ์ดไม่ตก    ข้อมูลข้อเท็จจริงที่ทำเพื่อประโยชน์สังคมจริง ๆ จะมีผู้คนและสื่อต่างๆ หลากชนิดรวมทั้งโซเชียลมีเดียรับฟัง

ว่ากันตามจริงเรื่องนโยบายรับจำนำข้าวทุกเมล็ดนี้  เราไม่น่าจะต้องมารอผลงานวิจัยจากสกว.หลัง ปี   2557  เลย  ภายหลังความเสียหายมหาศาลได้เกิดขึ้นแล้ว    

แค่การคิดนโยบายให้รัฐเป็นผู้รับซื้อจำนำข้าวทุกเมล็ดและเอามาค้าขายเอง     โดยให้เจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับเข้ามาเกี่ยวข้องตั้งแต่การซื้อ    การเก็บรักษา   ฯ จนกระทั่งการขาย  หรือว่าไปร่วมมือกับเอกชน มันจะมีประสิทธิภาพได้อย่างไร  

ทุกขั้นตอนตั้งแต่เมล็ดข้าวเปลือกออกจากนามากว่าจะเป็นข้าวสารเป็นศาสตร์เป็นทักษะเป็นศิลป์ของผู้ค้าข้าวผู้ประกอบการที่ต้องสะสมมานานหลายปี     ทุกขั้นตอนมีเงื่อนเวลากำกับอย่างที่จะพลาดไม่ได้เพราะเมล็ดข้าวเปลือกจะเน่าจะเสีย   

เพียงแต่ผู้ประกอบการข้าวเปลือกมืออาชีพทั่วไปไม่มีโอกาสพูด ไม่มีใครไปถาม ดังนั้น  แม้กลิ่นข้าวเน่าโชยคละคลุ้งทั่วประเทศแล้วสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์   นักวิชาการบางคนเตือนแล้วเตือนอีก  บ้างถอนตัวออกจากพรรค  แต่ก็แทบไม่มีผลใดเพราะขาดภาคประชาสังคมและสื่อเอาด้วย   เราก็จึงยังไม่สามารถสกัดกั้นความสูญเสียไว้ได้   

นี่ต่างหากที่น่ากลัว 

เราทุกคนต้องตระหนักความผิดพลาดเพิกเฉยอันนี้ของเรากันทั่วหน้า  ต่อนี้ไปเราจะป้องกันนโยบายสาธารณะแบบนี้ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดได้อย่างไรหากว่าความจำของคนไทยที่มัก(ถูกทำให้)ไม่มีหรือถึงมีก็สั้นๆเพราะไร้การบอกเล่าบันทึกฝากฝังสืบต่อให้คนรุ่นหลัง 

งานวิจัยของสกว. ที่มาบอกว่านโยบายจำนำข้าวทุกเมล็ดดังกล่าวนี้เป็นการแทรกแซงตลาดข้าวไทยครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์   รัฐบาลใช้เงิน  9.85  แสนล้านบาทซื้อข้าวเปลือก 54.4 ล้านตัน   เพื่อจะมาพบว่าข้าวเปลือกร้อยละ  80  ไม่ผ่านมาตรฐานเมื่อตรวจสต็อค   การดำเนินการมีทุจริตทุกระดับ   มูลค่าการทุจริตโครงการนี้ขาดทุน 6.6 แสนล้านบาท  ก่อให้เกิดต้นทุนและความเสียหายต่อสังคมมากกว่าประโยชน์ต่อชาวนาและผู้บริโภคคิดเป็นมูลค่า 1.23  แสนล้านบาท

อพิโธ่ อพิถัง   แค่ข้าวเปลือกในสต็อคไม่ผ่านมาตรฐานมากเกินครึ่ง  จะจีทูจี หรือจีทูเจ๊  เป็นเรื่องฝนตกขี้หมูไหล  การซื้อที่ทำโดยระบบราชการเป็นหลัก  อาศัยเซอร์เวเยอร์ที่รัฐบาลอบรมสองสามวันนั้นย่อมบกพร่อง   ในวงการนั้นเขาประมูลตัวกันเลย   ผู้มีทักษะดูข้าวเปลือกระดับ "เซียน" 

 นโยบายผิดพลาดเกิดการทุจริตทุกระดับทุกขั้นตอนตั้งแต่กลัดกระดุมเม็ดแรกอย่างนี้  เป็นไปได้ยากที่ผู้คิดและ/หรือพรรคการเมืองจะไม่รู้ไม่ระแคะระคายมาก่อน  

 เจ็บแล้วต้องจำ.