แก้ปัญหา SMEs แบบตรงจุด
ใครหลายคนคงจะใจคอไม่ค่อยดี เครียดและกังวลว่า ตัวเองจะติดโควิดไหม ห่วงคนใกล้ตัวจะติดไปด้วย ไม่กี่วันที่ผ่านมาจึงนับเป็นช่วงทรมานใจไม่น้อย
ช่วงแรกๆ ไทยได้รับคำชมว่า ป้องกันการระบาดเชื้อโควิด-19 ได้ดีมากประเทศหนึ่ง จนกระทั่งล่าสุดที่เกิดกรณีสถานบันเทิงซอยทองหล่อ ประกอบกับการเดินทางออกไปต่างจังหวัดในช่วงสงกรานต์ เมื่อพิจารณาภาพของจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อไล่เรียงตามระยะเวลาไปแล้วจะพบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อที่มีต้นตอจากกรณีซอยทองหล่อในกรุงเทพ ค่อยๆแพร่กระจายออกไปยังจังหวัดข้างเคียงและแพร่กระจายออกไปยังจังหวัดต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ดูมีความสัมพันธ์กับการเคลื่อนย้าย (mobility) กระทั่งขณะนี้ผลการแพร่ระบาดกระจายไปเกือบทุกจังหวัด
การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกในตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงขาลงเพราะการเร่งระดมฉีดวัคซีน จนทำให้หลายประเทศเริ่มมีจำนวนผู้ติดเชื้อน้อยลงมาก แต่ในทางตรงข้ามอัตราการขยายเชื้อโควิด-19 (Reproduction Rate - R) ของไทยในเวลานี้กลับสูงที่สุดในโลก ซึ่งเราไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะถ้าไม่มีมาตรการเข้มข้นจนกระทั่งลดค่า R ลงได้ การขยายตัวของผู้ติดเชื้อจะเป็นไปแบบก้าวกระโดด ชนิดที่ว่าในช่วง 30 วันจากนี้ไป ประเทศไทยจะมีผู้ติดเชื้อใหม่รายวันถึงแสนคนต่อวัน นั่นเป็นภาพอนาคตแบบที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะหากเป็นเช่นนั้นสถานการณ์เศรษฐกิจไทย การทำมาค้าขายคงเลวร้ายลงกว่านี้อีกมาก
ทุกวันนี้เศรษฐกิจเราก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยพึ่งพาภาคเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ผลิตเพื่อส่งออก เราพึ่งพาการส่งออกและยังพึ่งการท่องเที่ยวเพียงไม่กี่เมืองหลัก SMEs ที่มีอยู่จำนวนมากยังไม่แข็งแกร่ง ขาดความเข้มแข็งจากภายใน จากเหตุการณ์กรณีทองหล่อที่เกิดขึ้น เราจะเห็นได้ว่าส่งผลกระทบในวงกว้างเพียงชั่วเวลาไม่กี่วัน คนธรรมดา ชาวบ้าน ผู้ประกอบการ SMEs ทั้งหลาย คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่ได้เปิดผับเที่ยวผับเที่ยวบาร์ที่ไหน คนที่ตั้งใจทำงานและมีความหวังว่าสถานการณ์โควิด-19 และเศรษฐกิจไทยกำลังจะดีขึ้น กลับต้องมารับผลกรรม คนที่ลำบากสุดก็คือกลุ่มคนเปราะบาง กลุ่ม SMEs คนตัวเล็กๆ ทั้งหลาย
การฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนกับวิกฤตโควิด-19 การสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจไทยก็เป็นเรื่องสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ประเทศไทยมี SMEs ประมาณ 3 ล้านราย เป็นแหล่งจ้างงานขนาดใหญ่และสำคัญมากสำหรับเศรษฐกิจ เพราะมีการจ้างงานมากกว่า 17 ล้านคน อย่างไรก็ตามในวันนี้ SMEs ไทยจำนวนมากยังอ่อนแอเมื่อเทียบกับธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งในไทยเองและต่างประเทศ ยิ่งในวันนี้ที่มีวิกฤตเข้าเห็นได้ชัดเลยว่า SMEs เราอาการหนักแค่ไหน
ถ้าเทียบเรื่อง SMEs ผู้ประกอบการคนตัวเล็กแล้วก็เหมือนกับปัญหาคนจน ที่ขาดโอกาส ขาดการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน ขาดการพัฒนาและแต้มต่อ จะแข่งขันกับคนรวยกว่า คนที่มีทุนหนากว่าก็ย่อมแข่งขันยาก นอกจากนี้ปัญหาแต่ละคนก็อาจมีความแตกต่างกันอีกด้วย การแก้ปัญหาความยากจนระยะหลังนี้จึงมีแนวคิดยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาความยากจนแบบตรงจุด (Targeted Poverty Alleviation: TPA) โดยมีต้นแบบจากประเทศจีน ที่เน้นค้นหาต้นตอปัญหาความจนรายบุคคลและครอบครัว แล้วให้ความช่วยเหลือ พัฒนาแก้ไขปัญหาความยากจนของบุคคลและครอบครัวนั้นๆได้อย่างตรงจุดที่สุด ทำนองเดียวกัน SMEs โดยรวมอาจมีปัญหาบางอย่างที่คล้ายกัน แต่เมื่อดูในรายละเอียด SMEs จำนวน 3 ล้านรายนั้นก็ย่อมมีปัญหาที่แตกต่างกันดังนั้นการแก้ปัญหาจึงต้องออกแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
คนเราถ้าเลือกได้ คงไม่มีใครอยากเกิดมาจน เกิดมาไร้โอกาส แต่คนเราเลือกเกิดไม่ได้ บางคนเกิดมาจน บางคนเกิดมารวย ถึงจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่เมื่อเกิดมาจน ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องจนกันต่อไปจนลูกจนหลาน หากแต่นโยบายการแก้ปัญหาความยากจน การสร้างโอกาสนั้นช่วยลดช่องว่างระหว่างคนจนคนรวย ช่วยลดความเหลื่อมล้ำลงได้
คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่ถ้าจะทำธุรกิจ เราสามารถเลือกได้ เลือกรูปแบบ เลือกวิธีการทำธุรกิจที่เหมาะสมได้โดยที่ทางภาครัฐสามารถให้ข้อมูลหรือช่วยลดความเสี่ยงได้ ในทางกลับกัน SMEs ที่เลือกผิดไปแล้วก็ควรได้รับความช่วยเหลือให้ตรงจุด ไม่ใช่แบบเหมารวม ไม่ใช่การช่วยเหลือแบบสงเคราะห์ ทั้งนี้ข้อมูลของ SMEs ที่มีอยู่ในระบบก็มีพอสมควร ซึ่งเรื่องนี้จะทำให้การแก้ไขปัญหา SMEs แบบตรงจุดมีความเป็นไปได้ การสร้างธุรกิจ SMEs ไทยให้แข็งแกร่งจึงเป็นสิ่งที่เลือกได้และทำได้อย่างแน่นอน
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะต้องแก้ปัญหา SMEs แบบตรงจุด แก้ปัญหาเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาอย่างแท้จริงและยั่งยืน สร้างความแข็งแกร่งให้กับ SMEs เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันยกระดับ SMEs ขึ้นมาให้ได้แบบแท้จริง
ท่ามกลางวิกฤตในช่วงเวลานี้อาจเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่นี่ก็นับเป็นบททดสอบความแข็งแกร่งของมนุษย์ไม่ว่าจะคนตัวเล็กหรือคนตัวใหญ่ รวมถึงเป็นบททดสอบของธุรกิจ และการดำเนินนโยบายของภาครัฐด้วยเช่นกัน
ปัญหามีไว้ให้แก้ แต่ถ้าแก้ไม่ตรงจุดก็คงต้องแก้วนเวียนอยู่ร่ำไปไม่จบสิ้น
แก้ให้ตรงจุดวันนี้ เราอาจยอมเจ็บแต่จบ อนาคตไทยที่สดใสรออยู่ข้างหน้าแน่นอน.
บทความโดย ณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ประกาย ธีระวัฒนากุล
สถาบันอนาคตไทยศึกษา (Thailand Future Foundation: TFF)