แรงงานคืนถิ่นหลังโควิค 19 จุดเปลี่ยนภาคเกษตรไทย
นักวิจัย ธปท.วิจัยร่วมกับนักวิจัย มธ. ศึกษาผลกระทบต่อตลาดแรงงานในการย้ายคืนถิ่นช่วงการระบาดโควิด 19 ระลอกแรกและระลอกสอง เพื่อฉายภาพแห่งอนาคต
ผลกระทบต่อตลาดแรงงานในการย้ายคืนถิ่นช่วงการระบาดโควิด 19 ระลอกแรกและระลอกสอง โดยใช้ข้อมูลเร็ว Mobile Big Data รวมถึงนัยทางนโยบายที่ทุกฝ่ายควรคว้าโอกาสนี้ ด้วยการทรานส์ฟอร์มภาคเกษตรและกระจายความเจริญสู่เศรษฐกิจฐานราก สร้างภูมิคุ้มกันเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจไทยยั่งยืนอย่างแท้จริง
ภาพอดีต : การย้ายถิ่นของไทยมีแนวโน้มลดลง และภาคชนบทเกษตรยังรองรับแรงงานคืนถิ่นที่ถูกเลิกจ้าง
แรงผลักดันทางเศรษฐกิจที่ทำให้ประชากรย้ายถิ่น หาโอกาสการมีงานทำ รายได้ ฐานะความเป็นอยู่ กรุงเทพฯ เป็นจังหวัดที่มีการย้ายถิ่นเข้าและย้ายถิ่นออกสูงสุด เพราะเป็นเขตเศรษฐกิจหลัก แหล่งงานสำคัญ และคนอีสานครองแชมป์ย้ายถิ่นเข้ากรุงเทพฯ มากที่สุด
ผลศึกษา ธปท.“พลวัตผลิตภาพแรงงาน” สถิติการเปลี่ยนแปลงจำนวนแรงงานสุทธิที่ย้ายเข้าและย้ายออกในแต่ละภาคการผลิต ในช่วง 4 ทศวรรษ (ปี 2515 –2557) พบว่า การย้ายถิ่นของไทยมีแนวโน้ม ลดลงต่อเนื่อง ในช่วงแรกปี 2515-2540 แรงงานเคลื่อนย้ายสุทธิเฉลี่ยปีละ 1.3-1.5 ล้านคน แต่หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ลดลงเหลือเฉลี่ยปีละ 6-8 แสนคน โดยผลิตภาพแรงงานที่มาจากเคลื่อนย้ายแรงงานจากประเภทที่มีผลิตภาพต่ำเช่นภาคเกษตร ไปยังประเภทที่มีผลิตภาพสูงกว่าในภาค อุตสาหกรรม และบริการได้ลดลงไปมาก แต่การเคลื่อนย้ายแรงงานจากภาคเกษตรเข้าสู่ภาคบริการยังมีอย่างต่อเนื่อง แม้จะน้อยกว่าในอดีต
ในมิติเชิงพื้นที่ ร้อยละ 60 ของการย้ายถิ่นในประเทศเป็นการย้ายถิ่นระหว่างจังหวัด โดยการย้ายถิ่นแบบถาวรเป็นแบบ “Rural-urban” ขณะที่การย้ายถิ่นแบบชั่วคราวเป็นแบบ “Urban-rural” ในส่วนการย้ายถิ่นตามฤดูกาลส่วนใหญ่เป็นการโยกย้ายแรงงานจากภาคอีสานและเหนือมายังกรุงเทพฯและปริมณฑลและภาคกลางในช่วงฤดูแล้ง และเป็นไปในทิศทางตรงข้ามในช่วงฤดูฝน เป็นที่น่าสังเกตว่า ภาคชนบทเกษตร ทำหน้าที่รองรับแรงงานคืนถิ่นที่ถูกเลิกจ้างจากเมืองในหลายวิกฤตในอดีต ยืนยันได้จากผลสำรวจ สสช.
ปี 2552 พบว่าร้อยละ 74 ของแรงงานย้ายถิ่นย้ายกลับภูมินำเนาเดิมเทียบกับร้อยละ 66 ในปี 2551 (จากผลกระทบของวิกฤตการเงินโลกปี 2551-2552)
ภาพปัจจุบัน: โควิด 19 ทำให้เกิดแรงงานย้ายถิ่นกลับฐานที่มั่น : ข้อเท็จจริงจาก Mobile Big Data
โควิด 19 เร่งให้สร้างนวัตกรรมใหม่จากเทคโนโลยีดิจิทัลช่วยบริหารวิกฤติสาธารณสุขครั้งนี้ ที่สำคัญคือการใช้ App บนโทรศัพท์มือถือเพื่อติดตาม/ควบคุมการแพร่เชื้อของโรคที่ไปกับการเคลื่อนย้ายของคน ทำให้มีความต้องการจากหลายฝ่ายต่อข้อมูลเร็ว Mobile Big Data เพื่อใช้ประเมินผลกระทบ ออกมาตรการควบคุมโรคที่เหมาะสม และแชร์ข้อมูลเพื่อวางนโยบายสาธารณะร่วมกัน
ผู้เขียนได้ใช้ฐานข้อมูล Telco ของ True Digital Group ของผู้ใช้มือถือประมาณ 20 ล้านคน (ช่วง 1 ม.ค. 62 - 28 ก.พ. 64) ศึกษาพฤติกรรมการย้ายคืนถิ่นของแรงงาน ในช่วงล็อกดาวน์ครั้งแรก (เริ่ม 26 มี.ค. 63) และช่วงการ Lock down ครั้งสอง มีข้อค้นพบ ดังนี้
1. ภาพรวม แรงงานย้ายคืนถิ่นกลับภูมิลำเนาขนานใหญ่ทั่วประเทศ สะท้อนจากจำนวนประชากรทั้งย้ายเข้าสุทธิและย้ายออกสุทธิ ในช่วง ก.พ.-เม.ย. 63 รวมกัน 2.0 ล้านคน สูงกว่าค่าเฉลี่ยของช่วงหลังปี 63 กว่า 2 แสนคนต่อเดือน ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงานอายุ 21-60 ปี (ร้อยละ 80) และกว่าครึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อย (เทียบเคียงจากข้อมูลจ่ายบิลค่าโทรศัพท์เดือนละ 0-99 บาท สอดคล้องกับผลสำรวจแรงงานนอกระบบโดยจุฬาฯ) คือ แรงงานย้ายคืนถิ่นส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรายได้น้อย ลูกจ้างรายวัน ทำงานในภาคบริการ โรงแรม และภัตตาคาร การตัดสินใจกลับภูมิลำเนาเพื่อความอยู่รอด
2. ในมิติเชิงพื้นที่ แรงงานที่ถูกเลิกจ้างย้ายถิ่นออกจากกรุงเทพฯและปริมณฑล และเมืองท่องเที่ยวหลัก ชลบุรี ภูเก็ตและเชียงใหม่เป็นสำคัญ เฉพาะ ก.พ. มีประชากรย้ายออกจากกรุงเทพฯ สูงถึงร้อยละ 58 ของคนย้ายถิ่นทั้งหมด (ยกเว้นจังหวัดในภาคอีสาน และนครศรีธรรมราช ที่มีแรงงานย้ายเข้าจำนวนมาก) สะท้อนว่าแรงงานจำนวนมากถูกเลิกจ้าง ถูกลดชั่วโมงทำงาน ขาดรายได้และไม่สามารถแบกรับค่าครองชีพในเมืองใหญ่ได้ และตัดสินใจกลับบ้านฐานที่มั่นบ้านเกิดของตนเอง
3. การระบาดระลอกสองตั้งแต่ปลายเดือน ธ.ค. 63 พบว่า การเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าและออกสุทธิ ก็มีค่าเฉลี่ยน้อยกว่าช่วงการระบาดรอบแรก อาจเป็นผลจากแรงงานย้ายคืนถิ่นไปมากแล้วในระลอกแรก เช่นเดียวกับเคลื่อนย้ายแรงงานในจังหวัดท่องเที่ยวภาคใต้ ภูเก็ตและกระบี่ ในช่วงนี้ก็ยังเบาบาง
ภาพอนาคต : จุดเปลี่ยนภาคเกษตรไทย เร่งกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคให้เกิดขึ้นจริง
ไม่มีบ่อยครั้งที่จะมีคลื่นอพยพแรงงานเมือง ที่มีคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้และเทคโนโลยี ย้ายคืนถิ่นมากเช่นครั้งนี้ ไทยต้องคว้าโอกาสนี้ พัฒนาภาคเกษตร เร่งกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ดึงดูดแรงงานกลุ่มนี้ให้อยู่ในภาคเกษตร และเป็นกำลังสำคัญต่อไป สร้างมูลค่าใหม่ทางการเกษตร พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและสุขภาพ และทางการควรจัดหาทรัพยากร (ที่ดินและน้ำ) ความรู้เชี่ยวชาญ และช่องทางการขายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ให้แก่กลุ่มเกษตรกร และพัฒนาและแชร์ข้อมูลเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆ ระหว่างกันเพื่อช่วยวางแผนพัฒนาภาคเกษตรในทุกมิติ อันจะเป็นความท้าทายในข้างหน้าต่อไป.
บทความโดย ดร.เสาวณี จันทะพงษ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย, นายวริศ ทัศนสุนทรวงศ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของหน่วยงาน