พฤติกรรมทำให้ ‘จน’
ไม่น่าเชื่อว่า สังคมปัจจุบันของเรา มีคน “จน” อยู่มากมายท่ามกลางความมั่งมี มันเป็นความ“จน” อีกลักษณะหนึ่งที่แตกต่างจากความจนที่เราคุ้นเคย
คาดว่าไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของคนไทยในช่วงอายุ 23-24 ปีขึ้นไปถึง 40 กว่า ๆ มีการศึกษาตั้งแต่มัธยม 3 ขึ้นไป ที่มีรายได้เฉลี่ยรายเดือน 18,000 บาท ถึงกว่า 100,000 บาท มีพฤติกรรมเหมือนกันในหลายลักษณะที่ทำให้ “จน” อุปมาคล้ายถังน้ำที่มีรูให้น้ำไหลออกซึ่งคือรายจ่ายและมีน้ำไหลหรือรายได้เข้าจากก๊อกน้ำปริมาณน้ำที่อยู่ในถังคือเงินออมสะสม ไม่ว่าจะมีน้ำไหลเข้าถังมากมายเพียงใดในแต่ละเดือน หากไหลออกในอัตราที่เท่ากัน ก็หมายถึงว่าไม่มีเงินออมสำหรับเดือนนั้น หากต้องการให้มีน้ำไหลเข้ามากกว่ารายได้จากก๊อกเดียวก็ต้องไปกู้มาซึ่งเสมือนกับมีน้ำจากอีกก๊อกไหลเข้ามาช่วย
คนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมแบบถังน้ำร่วมกันกล่าวคือน้ำที่เหลืออยู่ในถังล้วนมาจากการกู้ทั้งสิ้น ซึ่งวันหนึ่งก็ต้องใช้คืนทั้งดอกเบี้ย นี่คือความ “จน” ในความหมายดังกล่าวพฤติกรรมที่กล่าวถึงมีดังนี้
(1) แยกไม่ออกระหว่าง “needs” และ “wants” มนุษย์มีความจำเป็นต้องมี (needs) ในชีวิตเพื่อให้อยู่รอด ปัจจัยสี่อย่างพอดีคือรายจ่ายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ดีมีรายจ่ายอีกประเภทหนึ่งจากความต้องการมี (wants) ของคนกลุ่มนี้ เช่น มีชีวิตดื่มกินที่หรูหรา มีรถยนต์ เสื้อผ้าราคาแพง นาฬิกาหรู ช็อปเปอร์มียี่ห้อ โฮมเธียร์เตอร์ สะสมของเล่นราคาแพง เที่ยวต่างประเทศ ฯลฯ
ซึ่ง “การกินอยู่เกินฐานะ” เช่นนี้เกิดได้ง่ายในยุคปัจจุบันด้วยบัตรเครดิตรูดบัตรคือยืมเงินมาใช้ก่อนด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูง แล้วผ่อนคืนเดือนละเล็กน้อยโดยมีบัตรหลายใบหมุนกันไป สไตล์ “จับแพะชนแกะ” ก็ทำให้ได้สิ่งที่ต้องการมีตามเพื่อนฝูง เงินแต่ละเดือนไม่พอใช้แต่ที่อยู่ได้ก็เพราะมีบัตรเครดิตช่วยอย่างไม่รู้จะจบอย่างไร
(2) ใคร ๆ ก็เป็นแบบนี้ เมื่อคนกลุ่มนี้มองกันและกัน ก็เห็นว่าไม่มีอะไรแปลกประหลาด ใคร ๆก็เป็นหนี้ในลักษณะนี้เพื่อให้มีของหรูหราใช้ ชีวิตเป็นของเรา เมื่อทำงานหนักก็ต้องให้รางวัลชีวิตกันเป็นธรรมดา คนจะมีระดับก็ต้องมีหนี้กันบ้าง
(3) คิดอย่างขาดเหตุผลเกี่ยวกับอนาคต “อีกหน่อยก็มีเงินมากกว่านี้” “อีกหน่อยก็ถูกหวย ชนะพนันรวยแล้ว" แบบแผนความคิดง่าย ๆ ไร้เดียงสาเช่นนี้มิได้ช่วยให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ดีขึ้น หนี้จะงอกขึ้นเหมือนดินพอกหางหมู เมื่อถึงจุดที่ต้องแก้ไขหลายคนที่มีจริยธรรมอ่อนแอก็ต้องใช้วิธีที่ผิดจนนำไปสู่คุกตะราง เช่น เบียดบังหลวง คดโกง ขโมย จี้ปล้น ฯลฯ หากแต่ละวันหมกมุ่นอยู่กับการหาโอกาสทุจริตเพื่อได้เงินมาใช้หนี้ การงานจะก้าวหน้าได้อย่างไร
(4) เล่นการพนัน หลายคนมีสไตล์การใช้ชีวิตที่เกี่ยวพันกับการพนันโดยเริ่มต้นที่ความสนุกและตามมาด้วย การหาเงินมาใช้หนี้ด้วยการพนันออนไลน์ที่มีอยู่เกร่อไปหมด แทงฟุตบอล ตีไก่ เล่นหวย ฯลฯ บางคนกู้หนี้นอกระบบมาเล่นพนันแล้วเสียจึงโดนสองเด้งคือทั้งเจ้าหนี้นอกระบบ และเจ้ามือการพนันไล่ทวงหนี้จนถูกฆ่าตายก็มี
(5) ขาดหลักการในการดำเนินชีวิต มีชีวิตเพื่อความสุขสำราญในวันนี้โดยไม่คำนึงถึงอนาคตด้วยการคิดอย่างจริงจังว่าชีวิตจะเดินไปอย่างไรอย่างมีความมั่นคงทางการเงินในอนาคต สิ่งที่ประสบเหมือนกันก็คือการมีเงินใช้ไม่ชนเดือนถึงแม้จะมีรายได้สูงก็ตาม แต่ละวันคิดแต่การหาเงินมาใช้หนี้ที่ถูกทวงถามอยู่เสมอ
(6) ใช้เวลาอย่างไร้ประโยชน์ แทนที่จะใช้เวลาว่างหาทางเพิ่มทักษะและความรู้เพื่อจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกทางแต่กลับหมดเวลาไปกับการติดตามเรื่องราวซุบซิบของดารา ใช้เวลาส่วนใหญ่เล่นเกมส์ อ่านเรื่องไร้สาระในโซเชียลมีเดีย ฯลฯ
พฤติกรรมเหล่านี้อาจนำไปสู่ปัญหาสังคมที่ใหญ่โตได้เพราะเมื่อเผชิญกับปัญหาเรื่องเงิน คนส่วนมากก็จะพยายามหาแพะมารับบาปเพื่อความสบายใจ เกิดความโกรธแค้น ชิงชัง องค์กร สถาบัน บุคคล พรรคการเมือง ฯลฯ โดยไม่เคยดูว่าตัวเองนั่นแหละคือต้นเหตุแห่งปัญหา สถานการณ์เช่นนี้ทำให้สังคมปั่นป่วนได้ไม่ยากหากมีคนลักษณะนี้อยู่เป็นจำนวนมาก (ประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนรวมกันทั้งประเทศมีขนาดใกล้เคียง GDP หรือรายได้ของคนทั้งประเทศในปีหนึ่ง)
หนี้บุคคลเกิดจากพฤติกรรมส่วนตัวที่ “อยู่กินเกินฐานะ” กล่าวคือไม่ใช้จ่ายเงินในระดับใกล้เคียงกับรายได้ของตนเอง ปล่อยให้อิทธิพลของการโฆษณา การเลียนแบบเพื่อน ความต้องการมี ความปรารถนา “สุขสมอย่างทันด่วน” ฯลฯ เข้าครอบงำ จนรายได้ที่มีไม่น้อย(คนไทยเฉลี่ยมีรายได้ประมาณ 20,833 บาทต่อเดือน) นั้นไม่เกิดประโยชน์แก่ตนเองและครอบครัวอย่างแท้จริง หากกลับกลายเป็นสะพานไปสู่หนี้และความยุ่งยากของชีวิตที่ตามมาจนหาความสุขใจไม่ได้
ผู้เขียนขอออกตัวว่าเขียนบทความนี้ด้วยความปรารถนาดี หลังจากที่ได้รับทราบและสังเกตเห็นปัญหาการเงินที่เกิดกับคนชั้นกลางเหล่านี้ที่โชคดีกว่าคนมากมายในประเทศ หัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหาคือการไตร่ตรองทบทวนและมุ่งมั่นแก้ไขพฤติกรรม ไม่มีใครช่วยได้นอกจากตนเอง ถ้าต้องการให้วันพรุ่งนี้แตกต่างไปจากที่เคยเป็น ก็ต้องทำวันนี้ให้แตกต่างไปจากที่เคยทำมา.