เรื่องของการรู้และไม่รู้

เรื่องของการรู้และไม่รู้

มรดกจาก Donald Rumsfeld ที่ทิ้งไว้ให้ผู้คนได้ถกเถียงในเรื่อง Known-Unknown (รู้และไม่รู้) ที่สามารถนำไปประยุกต์ในชีวิตประจำวันได้หลายเรื่อง

Donald Rumsfeld  อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐสองสมัย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อดีต CEO ของหลายบริษัทใหญ่   ฯลฯ  เสียชีวิตเมื่อ 2 เดือนก่อนในวัย 89 ปี   ถึงแม้เขาจะมี“แผล” ในสายตาคนปัจจุบันเพราะมีบทบาทสำคัญในการบุกโจมตีอิรัคและอัฟกานิสถานหลังเหตุการณ์ 9-11   แต่เขาก็ได้ทิ้งมรดกไว้ให้ผู้คนได้ถกเถียงกันในเรื่อง “Known และ Unknown” (รู้และไม่รู้) ที่สามารถนำไปประยุกต์ในชีวิตประจำวันได้หลายเรื่องโดยเฉพาะในเรื่องการเข้าใจและจัดการความเสี่ยง

            เขาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของประธานาธิบดี George W. Bush  ตอนโจมตีอิรัคในปี 2003 โดยกล่าวหาว่าอิรัคมีอาวุธที่สามารถไปสู่การทำลายล้างมหาศาล (WMD _Weapons of Mass Destruction) แต่ก็ไม่พบ   ส่วนกรณีบุกอัฟกานิสถานนั้นก็เพื่อแสดงให้เห็นอำนาจของสหรัฐในการลงโทษผู้ไม่ร่วมมือด้วย (โจมตีในปี 2001 เมื่อกลุ่ม ตาลีบันที่ครองอำนาจอยู่ไม่ยอมมอบตัวนายบินลาเด็น)   ทั้งหมดนี้เขาสนับสนุนพฤติกรรมของคนถือค้อนที่มองอะไรก็เห็นเป็นตะปูไปหมด

          ยิ่งกว่านั้น Rumsfeld เป็นผู้สนับสนุนนโยบายทรมานผู้สงสัยเป็นผู้ก่อการร้ายที่คุก Abu Ghraib  เมื่อเขาสูญเสียการสนับสนุนไปหลังจากความจริงหลายอย่างถูกเปิดเผยจึงลาออกในปลายปี2006  และเขียนหนังสือเกี่ยวกับความทรงจำในชีวิตหลายเล่ม   เช่น  Known And Unknown /Rumsfeld’s Rules : Leadership Lessons in Business, Politics, War, and Life (ผู้เขียนเคยเขียนถึงเล่มนี้เมื่อหลายปีก่อน)

                คำแรก คือ known knowns  คือความจริงหรือสิ่งที่เรารู้แล้วว่าเรารู้   เช่น   (ก) พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก   (ข)  ถ้ากินไซยาไนด์เข้าไปก็ตาย   (ค) วัคซีนโควิด-19 มีหลายชนิดแตกต่างกันตามวิธีการผลิต    (ง) มนุษย์ทุกคนล้วนประสบสภาวการณ์   ”เกิด   แก่   เจ็บ   ตาย” 

            คำที่สอง  คือ known unknowns คือรู้ว่าไม่รู้อะไร เช่น    (ก) ฉีดวัคซีนไขว้ระหว่างวัคซีนต่างชนิดจะก่อให้เกิดภูมิต้านทานมากน้อยเพียงใด   (ข) มนุษย์จะอดอาหารและน้ำได้นานเท่าใดก่อนเสียชีวิต    (ค) การนั่งสมาธิมีผลต่อการทำงานของหัวใจและปอดอย่างไร     known unknowns  นั้นทำให้เกิดงานศึกษาวิจัยทั้งหลายเพื่อหาคำตอบสำหรับคำถามที่รู้กันชัดเเจ้ง

                  คำที่สาม คือ unknown knowns  คือมีสิ่งที่เรารู้หรือเข้าใจแล้วแต่ยังไม่รู้ลงไปลึกว่ามันมีอะไรที่ควรรู้กว่านั้นอีกหรือไม่   เช่น  (ก) แอสไพรินเป็นยาที่รู้กันมายาวนานว่าลดความปวด แต่ภายหลังจึงรู้ว่ามันทำให้เลือดลดความเข้มข้น จนไหลลื่นผ่านการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจได้ดี   (ข) เรารู้จักลูกน้องมายาวนาน  แต่ไม่รู้ว่าเขามีคุณลักษณะและทักษะดี ๆ ที่แอบซ่อนอยู่ กล่าวคือเรารู้จักเขาแต่ไม่ตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริงของเขา   (ค) สหรัฐคิดว่ารู้จักคนอัฟกานิสถาน   ตระหนักว่าหากสหรัฐถอยทหารออกไปก็จะสามารถต่อสู้กับตาลีบันต่อไปได้แต่ก็ปรากฏว่าไม่เป็นจริง   ลักษณะนี้คือไม่รู้จักสิ่งที่คิดว่ารู้แล้วอย่างแท้จริง  (ง) ถูกหักอกหักหลังจนหัวใจสลายเพราะเข้าใจว่ารู้จักคนรักมากพอในฐานะเป็นสิ่งที่ known  แต่แล้วก็พิสูจน์ว่าเธอหรือเขาเป็น unknown knowns 

                  คำที่สี่ คือ unknown unknowns  คือไม่รู้ว่าเราไม่รู้  ซึ่งตรงข้ามกับ known unknowns ที่รู้ว่าจะค้นหาสิ่งที่ไม่รู้อย่างไร  ในกรณีนี้เกิดความเสี่ยงที่ไม่อาจพยากรณ์ได้เพราะไม่รู้ว่ามันจะเกิดอย่างใดและเมื่อใด  ตัวอย่างเช่นเรื่องการระบาดโควิด-19  ไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์ติดเชื้อข้ามจากสัตว์มาคน ไม่รู้ว่าจะเกิดผลร้ายแรง ก่อนเหตุการณ์อาจมีบางสังคมมีความพร้อมรับมือโรคระบาดแต่เมื่อไม่รู้ว่าต้องสู้กับโรคระบาดลักษณะใด จึงไม่รู้ว่าจะเตรียมตัวอย่างไร    ทั้งหมดนี้มาจากไม่รู้ว่าต้องรู้อะไร  พูดง่าย ๆ ก็คือเมื่อไม่รู้ว่าหวยจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร   เป็นกระดาษจับหมายเลข  หรือคนซื้อหวยเก่าเเก่สุดเป็นคนได้รับรางวัลหรือคนหน้าตาตามที่ประกาศได้รางวัล ฯลฯ อีกทั้งไม่รู้ว่าจะออกรางวัลเมื่อใด  อย่างไร  รางวัลเท่าใดฯลฯ คือไม่รู้อะไรทั้งนั้นและไม่รู้ว่าตนเองควรดิ้นรนรู้อะไรด้วย  การซื้อหวยเช่นนี้จึงเสี่ยงอย่างยิ่ง มีโอกาสสูงที่จะสูญเงินเปล่า

              จากทั้ง 4 ลักษณะข้างต้น  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ unknown unknowns  เพราะเป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถพยากรณ์หรือวางแผนได้จึงมีความเสี่ยงสูง  โครงการก่อสร้างที่ได้คำนวณค่าใช้จ่ายครอบคลุมทุกลักษณะของปัญหาแล้วยังอาจขาดทุนจนโครงการล้มในที่สุดได้ดังที่เห็นกันในกรณีของโควิด-19   ใครที่ทำมาหากินราบรื่นมีเงินเป็นกอบเป็นกำก่อนหน้าปี 2020 ที่โควิด-19 จะระบาด  ไม่เคยคิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแต่มันก็ได้เกิดขึ้นแล้วจึงสมควรนำมาเป็นบทเรียนแก่ทุกคนในเรื่องความไม่ประมาท.