ทำไมมนุษย์มี "เซ็กส์" | วรากรณ์ สามโกเศศ
“Why We Really Have Sex?” ชื่อบทความในนิตยสารชั้นนำ Psychology Today ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2021 (Eric Haseltine) สร้างความฮือฮาและความสนใจ ตลอดจนให้ความรู้ในเรื่องที่ไม่รู้มาก่อนจนอดไม่ได้ที่จะนำมาสื่อสารต่อ
เชื่อหรือไม่ว่าสิ่งมีชีวิตหลายสปิชีส์สามารถมีลูกสืบเผ่าพันธุ์ของตนเองได้โดยไม่มีการผสมพันธุ์ หรือมีกิจกรรมทางเพศ เช่น บางพันธุ์ของนก ปลาฉลาม ผึ้ง แมลง หมัด พืช ฯลฯ หากผลิตผ่านกระบวนการที่เรียกว่า parthenogenesis ซึ่งหมายถึงการมีลูกด้วยตนเองโดยไม่มีเชื้อมาผสมแต่อย่างใด
คำว่า parthenogenesis มีรากมาจากภาษากรีกโบราณ คือผสมระหว่าง parthenos (บริสุทธิ์) กับ genesis (การเกิด) ดังนั้น parthenogenic animals จึงหมายถึงสัตว์ที่พัฒนาไข่ขึ้นมาเป็นตัวอ่อนโดยปราศจากการผสมด้วยเชื้อตัวผู้
ลูกของสัตว์ประเภทนี้บางตัวเป็นโคลน (clones) ของแม่ กล่าวคือมียีนเหมือนแม่ทั้งหมด แต่บางตัวมียีนที่แตกต่างจากแม่ออกไปบ้างและเป็นได้แม้กระทั่งเพศผู้
ความรู้เรื่องสัตว์ใดเป็นแบบนี้เป็นเรื่องใหม่ ถึงแม้จะมีการกล่าวถึงกันมานับพันปีแล้ว ในศาสนาคริสต์ความเชื่อว่าการเกิดของพระเยซูจากแม่ที่เป็นสาวบริสุทธิ์คือหลักฐาน
การศึกษาเรียนรู้จากธรรมชาติทำให้ทราบว่าหลายพันธุ์ของผึ้ง ปลาหางยกยูง ไก่งวง มด งู กุ้ง สัตว์เลื้อยคลาน ปลา นก (อีแร้งพันธุ์แคลิฟอเนียร์) ฉลาม (พันธุ์ bonnethead / white-spotted bamboo / zebra) เป็นสัตว์ที่มีลูกได้โดยไม่ต้องมีการผสมพันธุ์
ข้อได้เปรียบของ parthenogenesis เหนือการผสมพันธุ์ก็คือใช้พลังงานน้อยกว่า (ไม่ต้องเสียเวลาหาตัวผู้หรือเสียเวลาจีบกัน) เสี่ยงน้อยกว่า (ไม่ถูกทำร้าย หรือติดเชื้อจากตัวผู้) ไม่ถูกทำร้ายด้วยศัตรูขณะผสมพันธุ์ ฯลฯ
ที่น่าสนใจก็คือสัตว์บางสปีชีส์ในกลุ่ม parthenogenesis นี้มีความสามารถพิเศษที่เรียกว่า facultative parthenogenesis กล่าวคือเลือกได้ว่าจะมีเซ็กส์ (ผสมพันธุ์) เพื่อให้มีลูก หรือใช้กระบวนการ parthenogenesis คือมีลูกด้วยตัวเอง
นักสัตววิทยาศึกษาสัตว์ประเภทมีเซ็กส์หรือไม่มีเซ็กส์ก็มีลูกได้ พบว่าตัวเมียเลือกการพัฒนาไข่เป็นตัวอ่อนด้วยตนเองยามเมื่อไม่มีตัวผู้ให้ผสมพันธุ์ หรือเมื่อไม่มีสิ่งแวดล้อมที่คุกคาม (ไม่ขาดอาหาร มีภูมิอากาศที่เหมาะสม) แต่เมื่อสิ่งแวดล้อมเลวร้าย เช่น มีสารเคมีรั่วลงน้ำ หรือมีตัวผู้จำนวนมากให้เลือก มันก็จะเลือกการผสมพันธุ์
นักวิจัยเชื่อว่าการมีเซ็กส์ในยามเลวร้ายนี้ก็เพื่อต้องการยีนใหม่ๆ จากตัวผู้เพื่อให้ลูกสามารถต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายและสามารถอยู่รอดเพื่อสืบเผ่าพันธุ์ต่อไปได้ดีกว่า พูดอีกอย่างว่าวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต “สั่ง” ให้ยีนใหม่จากตัวผู้เข้ามามีบทบาทในการอยู่รอดของสปีชีส์ ซึ่งจะดีกว่าการออกลูกเองซึ่งยีนเก่าก็จะวนเวียนอยู่แค่นั้น
ตรงนี้แหละที่นักวิชาการสมัยใหม่พบว่า มนุษย์นั้นโดยแท้จริงแล้วเป็นสัตว์ชนิด facultative parthenogenesis คือสามารถเลือกที่จะสืบทอดลูกได้เองโดยการตกไข่และพัฒนาเป็นตัวอ่อนเอง หรือโดยการมีเซ็กส์หรือผสมพันธุ์
แต่มนุษย์เลือกที่จะมีเซ็กส์เพราะมีความเป็นไปได้สูงกว่าที่ลูกจะอยู่รอดจากการขาดแคลนอาหาร การแพร่ระบาดของโรค การถูกศัตรูทำร้าย สภาพอากาศแปรเปลี่ยน ฯลฯ ด้วยการมียีนใหม่ๆ เข้ามาจากการผสมพันธุ์
อีกเหตุผลสำคัญที่มนุษย์ไม่เลือกเส้นทางตกไข่และมีลูกเอง ก็เพราะกลไกการทำงานของร่างกายมนุษย์มีความซับซ้อนเกินกว่าที่ไข่จะพัฒนาขึ้นมาเป็นตัวอ่อนได้เองโดยไม่มีการผสมของยีนพ่อและแม่ นอกจากนี้เมื่อสิ่งมีชีวิตหนึ่งพัฒนาเกินจุดเปลี่ยนของความซับซ้อนดังเช่นมนุษย์แล้ว (เช่น ขนาดของระบบประสาท) กระบวนการ parthenogenesis ไม่สามารถพัฒนาตัวอ่อนขึ้นมาเป็นตัวตนที่สมบูรณ์ได้ ดังนั้น มนุษย์จึงมีทางเลือกเดียวในการสืบทอดเผ่าพันธุ์คือการมีเซ็กส์เท่านั้น
นักสัตววิทยายืนยันการมี 2 ทางเลือกของมนุษย์ โดยชี้ให้เห็นกรณีการตกไข่และพัฒนาขึ้นเป็นตัวอ่อนโดยไม่มีการผสมกับสเปิร์มแต่อย่างใด แต่ตัวอ่อนนั้นก็ไม่สามารถพัฒนาขึ้นกว่านั้นได้ และกลายเป็นเนื้องอกในมดลูกชนิดที่เรียกว่า teratoma
ใน teratoma บางครั้งพบฟัน เส้นผม กระดูก ฯลฯ อยู่ในขั้นต้นของการพัฒนาตัวอ่อน และเป็นหลักฐานว่ามนุษย์นั้นสามารถตกไข่และเกิดเป็นตัวอ่อนได้ แต่ไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นตัวตนสมบูรณ์ หากจะมีตัวอ่อนและพัฒนาขึ้นได้สมบูรณ์ก็มาจากการมีเซ็กส์คือไข่สุกผสมกับสเปิร์มเท่านั้น
ที่กล่าวมาทั้งหมดอธิบายได้ว่า เซ็กส์เป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาเผ่าพันธุ์เอาไว้ แต่ตอบไม่ได้ว่าเหตุใดเซ็กส์ของมนุษย์ที่มิได้มุ่งมีลูกจึงเป็นเรื่องประจำอย่างแตกต่างจากสัตว์อื่นๆ ที่มีเซ็กส์เป็นบางเวลาตามฤดูกาลเท่านั้น
มนุษย์ปัจจุบันมีปัญหาปวดหัว ปวดใจ ฆ่าฟันกันตายทุกวันเพราะเรื่องเซ็กส์ ความรัก ความโลภ ความโกรธแค้นและการเสพสุขจากการเล่นการพนัน การดื่มเหล้าและเสพยา
คำถามที่น่าคิดก็คือสมมติว่าถ้าสามารถทำให้เซ็กส์ของมนุษย์เป็นไปตามฤดูกาลเท่านั้น ปัญหาโดยรวมจะเบาบางลงไปหรือไม่ หรือตัวอื่นจะขึ้นมาแทนที่เพื่อให้เป็นปัญหาของมนุษยชาติอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้เผ่าพันธุ์นี้นี้ตื่นตัวอยู่เสมอจนไม่สูญพันธุ์.