เมื่อ 'อารยธรรม' ของ 'มนุษย์' อาจสิ้นสูญอีก 30 ปีข้างหน้า
เป็นไปได้หรือไม่ "อารยธรรม" ของ "มนุษย์" เรากำลังถึงคราวสูญสลายไป แถมมันจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในภายในอีก 30 ปีข้างหน้าเท่านั้น
หลายคนอาจจินตนาการถึงจุดจบของมนุษยชาติในอีกหลายร้อยปีข้างหน้า แต่ไต้ฝุ่นฮากีบิส ไฟป่าที่เผาแอมะซอน ทวีปแอฟริกา และออสเตรเลียเมื่อไม่นานมานี้ หรือกระทั่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทุกอย่างล้วนทำให้ ประเด็นเรื่องการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 ถูกพูดถึงมากขึ้น พอๆ กับ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าอารยธรรมของโลกเราที่มนุษย์ทุกคนเคยรู้จักไปอย่างสิ้นเชิง
แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า วันสุดท้ายของเรารออยู่อีกไม่เกิน 30 ปีข้างหน้านี้!
ข้อสันนิษฐานนี้เป็นเรื่องตลกที่ดูจะขำไม่ค่อยออกเท่าไหร่ เมื่อมีรายงานทางวิทยาศาสตร์ชุดใหม่ออกมาระบุว่า จากวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้นในวันนี้ จะนำไปสู่จุดสิ้นสูญของอารยธรรมของคนเราในอีกไม่เกิน 30 ปี นับจากนี้
รายงานฉบับดังกล่าว ตีพิมพ์โดย ศูนย์พัฒนาแห่งชาติเพื่อการฟื้นฟูสภาพภูมิอากาศ ออสเตรเลีย ได้พยากรณ์สถานการณ์จากปัจจัยแวดล้อม และเงื่อนไขของการ เกินขีดจำกัดที่มนุษย์จะอยู่รอด ซึ่งพวกเขาพบว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะขยายวงกว้างไปทั่วโลกภายในปี 2050
จากการวิเคราะห์ดังกล่าว นี่ถือเป็นสถานการณ์พิเศษอย่างแท้จริง ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ด้วยลักษณะของอุณหภูมิที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง และปริมาณประชากรโลกเกือบ 8 พันล้านคน สัญญาณเตือนเหล่านี้ต่างบ่งชี้ว่า มนุษย์เราควรทำอะไรสักอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นการติดตามแก้ปัญหาอาจเป็นความผิดพลาดยิ่งกว่า
สถานการณ์ 2050 ที่ถูกนำเสนอนั้น มีความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งทำให้เราเผชิญกับการล่มสลายของอารยธรรมอย่างไม่อาจแก้ไขได้เป็นผลสืบเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นดังต่อไปนี้
ค.ศ.2020-2030 รัฐบาลโลกล้มเหลวใน ข้อตกลงปารีส ซึ่งไม่เพียงจะรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้น หรือ "การรักษาอุณหภูมิไม่ให้เกิน 3 องศาเซลเซียส" จากการศึกษาก่อนหน้านี้ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีมากถึง 437 ส่วนต่อล้านหน่วย ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตอลด 20 ล้านปีที่ผ่านมา ผลก็คือ โลกร้อนจะร้อนขึ้นอีกอย่างน้อย 1.6 องศาเซลเซียส
ค.ศ.2030-2050 โลกจะปล่อยคาร์บอนสูงสุดในปี 2030 แล้วจากนั้นจึงค่อยๆ ลดลง ซึ่งวัฏจักรการใช้คาร์บอน และเชื้อเพลิงฟอศซิลอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่ผ่านมาทำให้อุณหภูมิจะสูงขึ้นอีกกว่า 3 องศาเซลเซียส ภายในปี 2050
ค.ศ.2050 ภายในปี 2050 เราจะเห็นว่า โลกไปถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ แผ่นน้ำแข็งในกรีนแลนด์ และแอนตาร์กติกตะวันตกจะอุ่นขึ้นอีก 2 องศาเซลเซียส สถานการณ์อุณหภูมิของโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 1 องศาเซลเซียส แม้ว่าเราจะหยุดกิจกรรมทุกอย่างทันทีก็สายไปเสียแล้ว
เมื่อมาถึงจุดนี้ จะส่งผลกระทบต่อมนุษย์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 55 ของประชากรโลก และมากกว่า 20 วันต่อปีเราจะเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนรุนแรงเกินกว่าที่มนุษย์จะอยู่รอดได้ ทวีปอเมริกาเหนือจะประสบกับสภาพอากาศผันผวนรุนแรง รวมถึงไฟป่า ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน มรสุมในประเทศจีน แม่น้ำใหญ่ของเอเชียแทบจะแห้งแล้งทั้งทวีป และปริมาณน้ำฝนในอเมริกากลางลดลงครึ่งหนึ่ง
สภาพความร้อนที่อันตรายถึงชีวิตทางแอฟริกาตะวันตกยังคงมีอยู่เป็นเวลามากกว่า 100 วันต่อปี และประเทศที่ยากจนจะยิ่งได้รับผลกระทบรุนแรงจากสภาพแวดล้อมดังกล่าว การผลิตอาหารไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงประชากรโลก ส่งผลทำให้มีผู้พลัดถิ่นมากกว่า หนึ่งพันล้านคน
สิ่งที่จะมาเป็นอีกส่วนผสมของความท้าทายของโลกก็คือ โรคระบาดที่จะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ความขัดแย้งเรื่องทรัพยากร และอาหารอาจนำไปสู่สงครามในที่สุด ซึ่งในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งรายงานระบุว่า อยู่นอกเหนือความสามารถในการสร้างแบบจำลองนั้นมี โอกาสสูงของอารยธรรมมนุษย์จะมาถึงจุดจบ
ด้วยความเป็นไปได้ที่น่าจะเกิดขึ้นกับคนเรา และอารยธรรมของมนุษยชาติในอีกไม่ช้านี้ อาจส่งให้เราต้องเตรียมตัวทั้งในแง่ของแผนรับมือ และการเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเสียใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนการระยะสั้นในการช่วยบรรเทาความรุนแรงของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบอุตสาหกรรมที่ปลอดมลพิษ การลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงเพื่อปกป้องอารยธรรมของมนุษยชาติ
หนทางเหล่านั้นมีความเป็นไปได้อยู่ โดยจากรายงานล่าสุด จะดีต่ออนาคตหากโลกสามารถจำกัดการเพิ่มอุณหภูมิไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส แทนที่จะเป็น 2 องศาเซลเซียส อย่างในข้อตกลงปารีส
แน่นอนว่า มีอีกหลายวิธีที่เราสามารถป้องกันอนาคตได้ เพียงแค่ต้องเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้