เงินเฟ้อโลกขึ้นสูง เงินเฟ้อไทยน่าห่วงหรือไม่? | แจงสี่เบี้ย

เงินเฟ้อโลกขึ้นสูง เงินเฟ้อไทยน่าห่วงหรือไม่? | แจงสี่เบี้ย

อัตราเงินเฟ้อในต่างประเทศที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ธนาคารกลางในประเทศพัฒนาหลายแห่งเริ่มดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดเร็วขึ้น

สหรัฐและอังกฤษอัตราเงินเฟ้อเดือน พ.ย. อยู่ที่ 6.8% และ 5.1% ตามลำดับ ขณะที่ไทยอัตราเงินเฟ้อไทยอยู่ที่ 2.7% (ณ พ.ย.64) ซึ่งก็ยังต่ำกว่าประเทศเหล่านั้นมาก อะไรคือสาเหตุที่เงินเฟ้อไทยยังต่ำ และมีโอกาสที่จะสูงขึ้นในระยะต่อไปหรือไม่
๐ สาเหตุที่เงินเฟ้อไทยต่ำกว่าเงินเฟ้อต่างประเทศ 
เงินเฟ้อไทยต่ำกว่าประเทศพัฒนาด้วยเหตุผล 2 ประการ: 1) วัฏจักรเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน 2) ระดับการพึ่งพาสินค้านำเข้าเป็นวัตถุดิบในประเทศที่ต่ำกว่า 
 

1) เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงที่กำลังฟื้นตัว ใช้เวลา กว่าจะกลับเข้าสู่ระดับก่อนโควิดก็ราวๆ ต้นปี 2566 เนื่องจากมีพึ่งพาการท่องเที่ยวสูงถึง 20% นอกจากนี้ ยังเป็นการฟื้นตัวที่ไม่เท่าเทียมทั้งในมิติรายได้ พื้นที่ และภาคเศรษฐกิจ การจ้างงานและรายได้ยังคงเปราะบาง จึงทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์อยู่ในระดับต่ำ 
    ต่างจากเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วที่ฟื้นตัวรวดเร็วและกลับสู่ระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนโควิดแล้ว เนื่องจากพึ่งพาการบริโภคและการลงทุนในประเทศเป็นหลักและมีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ทำให้อุปสงค์สูงขึ้นมากหลังคลายล็อกดาวน์ 
    อีกทั้งยังเผชิญปัญหาห่วงโซ่อุปทานเกิดภาวะชะงักงัน (supply chain disruption) ในช่วงที่มีการระบาดทำให้ไม่สามารถรับมือกับอุปสงค์ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วได้ ราคาสินค้าจึงปรับสูงขึ้นตามไปด้วย และมีการปรับขึ้นค่าจ้างในบางอุตสาหกรรมในประเทศพัฒนาแล้วเพื่อดึงแรงงานกลับมา จึงเร่งให้มีการส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าอยู่มาก
    2) ไทยมีการพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศในการผลิตสินค้าค่อนข้างต่ำ ทำให้ต้นทุนปรับสูงขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ยกเว้นสินค้าในหมวดพลังงานซึ่งรัฐมีมาตรการดูแลและตรึงราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้าและก๊าซหุงต้มช่วยอยู่ระดับหนึ่งแล้ว

ด้านการส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคเป็นไปได้ยากภายใต้อุปสงค์ที่ยังเปราะบางเช่นปัจจุบัน แรงกดดันเงินเฟ้อในช่วงนี้ จึงมาจากปัจจัยด้านอุปทานโดยเฉพาะราคาพลังงานเป็นสำคัญ ซึ่งน่าจะคลี่คลายลงได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565

๐ เงินเฟ้อไทยในอนาคตอาจผันผวนตามราคาพลังงานโลก
    ราคาพลังงานเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เงินเฟ้อปรับสูงขึ้นในปี 2564 และ 2565 (รูป 1) ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับขึ้นต่อเนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นหลังการคลายล็อกดาวน์ โดยในไตรมาสที่ 4 ปี 64 ที่มีปัญหาชั่วคราวด้านการผลิตมาซ้ำเติม ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศเพิ่มขึ้นถึง 25-30% แม้รัฐจะมีมาตรการตรึงราคาน้ำมันช่วยไว้ระดับหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ดี ในระยะข้างหน้าคาดว่าราคาน้ำมันจะลดลงหลังจากที่อุปทานทยอยปรับเพิ่มขึ้น
    ขณะที่ก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นแหล่งเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าและก๊าซหุงต้มมีราคาสูงขึ้นถึง 3 เท่าในปี 2564 ซึ่งก็ไม่ได้ถูกส่งผ่านมายังค่าไฟฟ้าและราคาก๊าซหุงต้ม เนื่องจากภาครัฐช่วยอุดหนุนและตรึงราคาตลอดทั้งปี เพื่อช่วยประชาชนและต้นทุนของธุรกิจ แต่ในปี 2565 ราคาก๊าซมีแนวโน้มที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง จึงทำให้อาจต้องทยอยปรับขึ้นราคา โดยภาครัฐได้ประกาศขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2565 และจะทยอยปรับขึ้นอีกในช่วงที่เหลือของปี 

เงินเฟ้อโลกขึ้นสูง เงินเฟ้อไทยน่าห่วงหรือไม่? | แจงสี่เบี้ย
    ด้านต้นทุนที่สูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบนำเข้า จากปัญหาห่วงโซ่อุปทานเกิดภาวะชะงักงันที่เกิดขึ้นในปี 2564 ยังไม่ได้ส่งผ่านไปยังผู้บริโภคเต็มที่ แม้แนวโน้มต้นทุนการผลิตในบางอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มโลหะขั้นมูลฐาน และกลุ่มเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี 
    โดยราคาสินค้าและบริการของผู้บริโภคในช่วงที่ผ่านมายังไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นชัดเจน (รูป 2) เนื่องจาก (1) สินค้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับอุตสาหกรรมดังกล่าวมีสัดส่วนน้อยในตะกร้าเงินเฟ้อไทย และ (2) ผู้ประกอบการช่วยรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไว้ จากการสำรวจผู้ประกอบการในเดือน พ.ย.2564 (รูป 3) พบว่า ผู้ประกอบการ 55% จะยังไม่ปรับเพิ่มราคาสินค้าและบริการในอีก 3 เดือนข้างหน้า เนื่องจากการแข่งขันที่สูงและกำลังซื้อของผู้บริโภคยังอยู่ในระดับต่ำ 
    ในระยะต่อไป การส่งผ่านต้นทุนนี้อาจมีเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ยังอยู่ในวงจำกัดเพราะอุปสงค์ในประเทศยังค่อยๆ ฟื้นตัว โดยปัญหาห่วงโซ่อุปทานเกิดภาวะชะงักงันนับเป็นปัจจัยชั่วคราว คาดว่าจะคลี่คลายได้ในปี 2565 เมื่อกำลังการผลิตโลกกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มปรับลดลง และลดแรงกดดันด้านต้นทุนของผู้ผลิตลง

เงินเฟ้อโลกขึ้นสูง เงินเฟ้อไทยน่าห่วงหรือไม่? | แจงสี่เบี้ย

๐ เงินเฟ้อไทยปี 65 จะยังเคลื่อนไหวในกรอบเป้าหมาย 1-3%
    แนวโน้มในระยะต่อไป อุปสงค์และอุปทานของสินค้าต่าง ๆ จะมีความสมดุลกันมากขึ้น แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทานจากต่างประเทศจะทยอยปรับลดลง สอดคล้องกับอุปสงค์ในประเทศที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น จึงจะทำให้เงินเฟ้อไม่ได้เร่งตัวอย่างรวดเร็ว และเงินเฟ้อในระยะต่อไปจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ร้อยละ 1-3 โดยอัตราเงินเฟ้อในปี 65 และ 66 คาดว่าจะอยู่ที่ 1.7 และ 1.4% ตามลำดับ
    อย่างไรก็ดี แบงก์ชาติจะติดตามอย่างใกล้ชิดถึงผลของการแพร่ระบาดของโอไมครอนที่จะสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อได้ทั้งขาต่ำและสูงจากความต้องการน้ำมันที่ลดลงและความยืดเยื้อของปัญหา supply chain disruption 
    ซึ่งประเด็นหลังนี้อาจทำให้พลวัตเงินเฟ้อในต่างประเทศปรับสูงขึ้นต่อเนื่องยาวนานจนกดดันให้เงินเฟ้อไทยปรับสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ได้ กล่าวโดยสรุปเงินเฟ้อไทยยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย ไม่ได้เร่งตัวอย่างรวดเร็วเหมือนประเทศพัฒนาแล้ว
    บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของ ธปท.

เงินเฟ้อโลกขึ้นสูง เงินเฟ้อไทยน่าห่วงหรือไม่? | แจงสี่เบี้ย
คอลัมน์ : แจงสี่เบี้ย
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ศุกพิณรัศ วงศ์สินศิริกุล
อัญชลี ศิริคะเณรัตน์
ณฐพร สัจวิทย์วิศาล
ปานชนก จำรัสธนสาร