วิเคราะห์ผลการเลือกตั้งซ่อม “ชุมพร-สงขลา” | ชำนาญ จันทร์เรือง

วิเคราะห์ผลการเลือกตั้งซ่อม “ชุมพร-สงขลา” | ชำนาญ จันทร์เรือง

ผลการเลือกตั้งซ่อมที่ชุมพรและสงขลา ในวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมาอย่างไม่เป็นทางกา รออกมาเป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะทั้ง 2 แห่ง

จากการติดตามการเลือกตั้งอย่างใกล้ชิดทั้งก่อนและหลังการลงคะแนน ได้มีผู้วิเคราะห์ไว้อย่างมากมาย 
แต่ในครั้งนี้แนวในการวิเคราะห์แตกออกไปในหลายทิศทาง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับข้อมูล ประสบการณ์ ทัศนคติและความเชี่ยวชาญของผู้วิเคราะห์เอง 

วิเคราะห์รายพรรค

พรรคประชาธิปัตย์
จากคะแนนที่เพิ่มขึ้นทั้ง 2 จังหวัด แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนนโยบายหาเสียงจากเดิมที่มีนายอภิสิทธิ์อดีตหัวหน้าพรรคที่ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ แต่มาสนับสนุนการร่วมรัฐบาลแทนและอ้างนโยบายประชานิยมว่าเป็นของรัฐบาลไม่ใช่ของพรรคพลังประชารัฐนั้นได้ผล 

กอปรกับมีการระดมสรรพกำลังผู้อาวุโสของพรรครุ่นลายครามมาช่วยหาเสียงก็ส่งผลไม่น้อยต่อคะแนนที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีนายนิพนธ์ บุญญามณี (ผู้มีอิทธิพลในพรรคตัวจริง)ซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่ง รมช.มหาดไทยเป็นแกนหลักในการรณรงค์อีกด้วย 

แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็สูญเสียอัตลักษณ์การเมืองของตนลงไป กลายเป็นพรรคสนับสนุนประชานิยมที่ตนเองเคยโจมตีและไม่เหลือการเป็นพรรคต้านเผด็จการแบบที่เคยยกมาอ้างเสมอในอดีต 

ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าก็ยังมีพรรคสไตล์เดียวกันรออยู่เป็นคู่แข่งคือ พรรคภูมิใจไทยและพลังประชารัฐนั่นเอง มิหนำซ้ำในคราวนี้ยังมีการจับกุมผู้ที่ทุจริตการเลือกตั้งโดยการถ่ายรูปที่ จ.ชุมพรอีกถึง 5 ราย ซึ่งอาจจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งหากมีการแจกใบเหลือง*และจะแย่กว่านั้นหากเป็นใบส้ม**(เพราะมีถึง 5 กรณี)
*ใบเหลือง – เลือกตั้งใหม่ ผู้ได้ใบเหลืองยังลงแข่งขันได้
**ใบส้ม – เลือกตั้งใหม่ ผู้ใด้ใบส้มไม่สามารถลงแข่งขัน(ภายใน 1ปี) และพรรคไม่สามารถส่งผู้สมัครอื่นลงแทนได้

พรรคพลังประชารัฐ
หลายคนมองว่าที่พรรคพลังประชารัฐแพ้ในคราวนี้เป็นเพราะถูกลงโทษโดยผู้เลือกตั้ง(Voters punish) เพราะคุณธรรมนัสไปปราศรัยดูถูกว่าต้องเลือกคนมีตังค์เป็น ส.ส.จึงจะเป็นที่พึ่งได้(ซึ่งเขาก็เลยไปเลือกคนที่มีตังค์กว่าไง หุ หุ) 

แต่ผมกลับไม่มองเช่นนั้นเพราะจากคะแนนที่ออกมาพรรคพลังประชารัฐไม่ขี้เหร่เลยล่ะครับ ที่สงขลาเพิ่มถึง เพิ่ม 21,214 คะแนน เพิ่มขึ้นกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ชู พล.อ.ประยุทธ์เป็นจุดขายยังเพิ่มขนาดนี้ และคะแนนที่ชุมพรก็ไม่ลดลงแต่อย่างใดอีกด้วย 

ซึ่งก็แสดงให้เห็นอำนาจบารมีของคุณธรรมนัสยังมีอยู่ แม้ว่าจะไม่ชนะการเลือกตั้งก็ตาม งานนี้ย่อมทำให้ พล.อ.ประยุทธ์คิดหนักว่าจะเดินเกมการเมืองต่อไปอย่างไร 

แต่จุดพลาดของคุณธรรมนัสก็มีคือการออกมาโวยวายว่าไม่เคยพบเห็นการทุจริตการเลือกตั้งขนาดนี้มาก่อน ซึ่งก็ทำให้คนฟังได้แต่อมยิ้มไปตามๆกัน

พรรคก้าวไกล
จากคะแนนที่ออกมามองได้ 2 มุม แน่นอนว่าคะแนนลดลงจากที่เคยเป็นพรรคอนาคตใหม่นั้นเกิดอะไรขึ้น ซึ่งอาจวิเคราะห์ได้หลายสาเหตุ เช่น การถูกกระแสโจมตีเรื่องสถาบัน การเป็นพรรคฝ่ายค้าน การเตรียมการณ์ยังไม่ดีพอ ฯลฯ


 แต่ในทางกลับกันคะแนนที่พรรคก้าวไกลได้มาจากเขตอำเภอสะเดากว่าห้าพันคะแนนท่ามกลางห่ากระสุน ย่อมแสดงให้เห็นว่าสามารถปักธงทางความคิดทำได้สำเร็จ 


อนึ่ง ในเขตเลือกตั้งทั้งสองนี้ พรรคเพื่อไทยไม่ได้ส่งผู้สมัครลงแข่งขัน แต่ก็ไม่มีผลทำให้คะแนนถ่ายไปยังพรรคก้าวไกลแต่อย่างใด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฐานคะแนนของพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยนั้นเป็นคนละกลุ่มกัน

ประเด็นที่จะต้องวิเคราะห์กันก็คือแล้วคะแนนของก้าวไกลที่หายไปนั้นไปที่พรรคไหนนั่นเอง


พรรคกล้า
จริงๆแล้วพรรคกล้าก็คือส่วนหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ที่แยกออกมาตั้งพรรคใหม่นั่นเอง คะแนนที่พรรคกล้าได้ที่สงขลา 7 พันกว่าคะแนนกับที่ชุมพรพันกว่าคะแนน (ซึ่งมีผู้เชื่อว่าบางส่วนมาจากพรรคอนาคตใหม่เดิม) นั้น 


ผมมองว่าหนทางยังอีกยาวไกล เพราะตราบใดที่ยังมีประชาธิปัตย์อยู่พรรคกล้าเกิดยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้ ต้องไปรอดูคะแนนพรรคกล้าในการเลือกตั้งซ่อมที่เขตจตุจักร/หลักสี่ ที่ไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ลงแข่งว่าจะได้คะแนนมากน้อยแค่ไหนอย่างไร


ที่น่าสังเกตคือพรรคภูมิใจไทยซึ่งเป็นพรรคคู่แข่งสำคัญในภาคใต้ แต่ในคราวนี้ไม่ส่งผู้สมัครลงแข่งขัน คิดว่าคงประเมินแล้วว่าได้มาอีกหนึ่งก็ไม่มีผลอะไรมากมาย(ขนาดมีงูเห่ามาเพิ่มตั้งเยอะ โควตารัฐมนตรียังไม่เพิ่มเลย) หากแพ้ก็จะเปลืองตัวเสียเปล่าๆ ค่อยไปกวาดต้อนเอาตอนยุบสภาฯ มีเลือกตั้งใหม่คราวหน้าดีกว่า 

วิเคราะห์ผลการเลือกตั้งซ่อม “ชุมพร-สงขลา” | ชำนาญ จันทร์เรือง


ส่วนพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มี ส.ส.มากที่สุดในสภาฯแต่ไม่ประสพความสำเร็จในภาคใต้ งวดนี้จึงไม่แปลกอะไรที่จะไม่ส่งผู้สมัคร


กล่าวโดยสรุป หลายคนอาจมองว่าก็เหมือนเดิมที่ประชาธิปัตย์ยังครองใจคนภาคใต้อยู่ แต่ผมกลับมองว่า “คนใต้ไม่เหมือนเดิม”แล้ว พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเปลี่ยนไปมาก(ที่แน่ๆ คือ มูลค่าต่อเสียงพุ่งกระฉูดกว่าตอนเลือกตั้งใหญ่หลายเท่าตัว)  และผลการเลือกตั้งซ่อมคราวนี้ไม่สามารถส่งผลต่อการเลือกตั้งทั่วไปแต่อย่างใด 

เพราะการเลือกตั้งซ่อมคราวนี้พรรคการเมืองหลักๆที่สำคัญไม่ได้ลงแข่งขัน และในการเลือกตั้งทั่วไปจะต้องมีการเสนอชื่อตัวบุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นจุดขายอีกด้วย.