คิดนโยบาย:กว้างxยาวxลึก (ถึงใจประชาชน) | ประกาย ธีระวัฒนากุล
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างต่างๆ ที่สะท้อนความไม่สมดุล ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม เราจึงเผชิญหน้ากับปัญหาหลากหลายมิติ
ปัญหาที่เราเผชิญมีทั้งปัญหาทางเศรษฐกิจ ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ การจ้างงาน ช่องว่างทางเทคโนโลยี รวมไปถึงความท้าทายในการพัฒนาด้านกำลังคนของประเทศไทย ความท้าทายในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต อาทิ ภัยจากสุขภาพ ภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยจากความมั่นคง เป็นต้น
ในการสร้างการเปลี่ยนแปลง เพื่อเอาชนะปัญหาต่างๆได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ออกแบบนโยบายที่แก้ปัญหาได้ตรงเป้า และสามารถเชื่อมต่อไปถึงกลไกการขับเคลื่อน เรื่องนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องการวิธีคิดใหม่ๆ และวิธีปฏิบัติใหม่ๆ
เพราะโลกอนาคตยุคใหม่มีความซับซ้อน ความไม่แน่นอนสูง เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วฉับพลันและมีผลกระทบสูง ดังเช่น วิกฤตการณ์ COVID-19 ที่เราเห็นผลกระทบรุนแรงในระดับโลก ความท้าทายในปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญ และความท้าทายอย่างรุนแรงของโลกอนาคตทำให้เราอยู่แบบเดิมไม่ได้แล้ว
สำหรับภาครัฐเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ การปรับเปลี่ยนวิถีการทำงานของภาครัฐจึงสามารถขับเคลื่อนประเทศได้อย่างประสิทธิภาพและตอบโจทย์ประชาชน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเปลี่ยน Mindset วิธีการทำงานยิ่งต้องเปลี่ยน หรือจะพูดว่าต้องเปิดใจให้กว้าง และเปิดพื้นที่การทำงานร่วมกันให้กว้างขึ้นนั่นเอง
เรื่องนี้ยังรวมถึงการสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยผู้นำการเปลี่ยนแปลง เพราะผู้นำเป็นหนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จ การมีผู้นำการเปลี่ยนแปลงในระดับต่างๆ จึงสำคัญยิ่ง การสร้างผู้นำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกระบวนทัศน์ ทัศนคติที่เปิดกว้าง เสริมสมรรถนะบุคลากรให้แข็งแกร่งด้วย ทักษะและสมรรถนะที่สำคัญจึงเป็นสิ่งจำเป็น
แพลตฟอร์มนโยบาย และกระบวนการออกแบบนโยบาย เป็นหัวใจสำคัญในการร่วมสร้างนโยบายสาธารณะที่ดี ตอบโจทย์ประชาชน อย่างฉับพลันทันการณ์
การบูรณาการงาน เป็นหัวใจสำคัญแห่งสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง การบูรณาการอาจฟังดูเกือบเชยไปแล้วเพราะพูดถึงคำนี้กันมานาน แต่จะเปลี่ยนไปใช้คำอื่นก็ได้ แต่ขอให้หมายถึงทำอะไรก็แล้วแต่ที่รวมใจกันได้ ร่วมกันทำจับมือกันทำแบบไม่แบ่งฝั่งแบ่งฝ่าย ทว่าเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง
เพราะปัญหาหรือความท้าทายต่างๆ หรือแม้กระทั่งเชื้อโรคในยุค COVID-19 ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าไม่ได้เลือกมาติดต่อกับแค่บางกระทรวง วาระ (Agenda) การพัฒนาที่สำคัญของประเทศไทย ที่มีความซับซ้อนข้องเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน จึงไม่ควรเลือกที่จะทำหรือไม่ทำอะไรเพียงเพราะมีเส้นแบ่งระหว่างกรมกระทรวงเท่านั้น
การทำงานภาครัฐแบบใหม่จากนี้ไปจึงต้องตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง เลือกสิ่งที่จะเปลี่ยน ถ้าอยากให้การเปลี่ยนแปลงเห็นผล ก็ต้องเลือก ทั้งเลือกที่จะทำ และเลือกที่จะไม่ทำบางอย่างด้วย เพราะในเชิงยุทธศาสตร์แล้วเราทำทุกอย่างไม่ได้ เราต้องเลือก นี่รวมไปถึงการทลายกำแพง ปลดล็อคข้อติดขัดทั้งหลาย ปรับกลไกการทำงาน การเปิดเวทีการทำงานร่วมกัน เสริมด้วยนวัตกรรมและวิธีการแบบสร้างสรรค์
การบูรณาการงานที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนเป็นสิ่งที่ต้องเร่งรัดให้เกิด ภาครัฐต้องเดินหน้าด้วยการนำเทคโนโลยีและดิจิทัลที่ถูกต้องและเหมาะสมมาใช้ เร่งผลักดัน Open Government
นอกจากนี้ แม้ว่าการคิดเร็วทำเร็วจะเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ก็อย่าลืมว่า คิดได้แล้วต้องทดลองทำก่อนด้วย ก่อนที่จะประกาศใช้นโยบายระดับประเทศ เพื่อลดโอกาสความผิดพลาดจากการคิดไม่รอบด้านหรือได้ทดลองฟังเสียงประชาชน
การทดลองขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ด้วยการทำงานเชิงบูรณาการ (Sandbox) พร้อมกับสรุปบทเรียน สร้างกลไกในการขยายผลจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำ หลังจากออกแบบนโยบายใหม่ คิดสร้างสรรค์โครงการหรือไอเดียใหม่ๆแล้ว ต้องนำต้นแบบนโยบายไปทดลองปฏิบัติจริงในพื้นที่นำร่อง ซึ่งจะช่วยลดการทำงานแบบแยกส่วน (Silo)
ในขณะที่ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการให้บรรลุผลสำเร็จ จากนั้นก็ขยายผลโมเดลการพัฒนาที่สำเร็จให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง
เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งปรับกระบวนทัศน์และกระบวนการทำงานร่วมกัน ร่วมกันค้นหาโมเดลการขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดผลได้จริง
ทุกอย่างกำลังถาโถม เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทวีคูณ
ดังนั้น เพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้าตอบโจทย์อนาคตและความท้าทาย การคิดและขับเคลื่อนนโยบายนั้นเราจำเป็นต้องเปลี่ยนอย่างน้อย 3 ประการ
ประการแรก เปลี่ยนไปใช้นโยบายบนฐานของข้อมูล (Data-Driven Policy) ตัดสินใจเชิงนโยบายไปข้างหน้าได้อย่างดี เราต้องมีข้อมูล คิดและตัดสินใจอย่างรอบด้าน
ประการที่สอง เปลี่ยนวิธีคิดและออกแบบนโยบาย โดยหันไปมองข้างหน้า มองภาพอนาคตมากขึ้น ไม่เน้นแค่แก้ปัญหารายวัน ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น แต่ออกแบบนโยบายโดยคำนึงถึงปัจจัยขับเคลื่อนอนาคต เพื่อเตรียมความพร้อมรับกับทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะมองการณ์ให้ไกลเข้าไว้
ประการที่สาม เปลี่ยนไปสู่นโยบายที่อยู่บนฐานความเข้าอกเข้าใจ (Empathy-Based Policy) มีนโยบายที่ฟังไปยังส่วนลึกของใจประชาชน
ไม่มีเวลาไหนจะเหมาะสมที่จะเปลี่ยนแปลง เท่าเวลานี้อีกแล้ว
และเมื่อเราคิดที่จะเปลี่ยน....ขอให้เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบมองให้กว้าง มองให้ยาว และมองให้ไกลลึกลงไปถึงในใจประชาชน.